วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

พระสมเด็จแท้ / Genuine Phra Somdej

จำแนกตามพิมพ์และเนื้อหา
กราบ พระรัตนตรัย.........บิดามารดาบรรพบุรุษ......ครุฐาอาจารย์
  1. พิมพ์ชาวบ้านและผู้ศรัทธา
  2. พิมพ์ช่างหลวง-ยุคปลาย
  3. พิมพ์สายวังหน้า-วังหลัง
  4. พิมพ์ปูนเพชร

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การลอดใต้สะพานลอย ลอดใต้ราวตากผ้า ที่เชื่อกันว่าจะทำให้เสื่อม...จริงหรือ?

          'พระพุทธรูป' – พระเครื่อง-เครื่องราง คือ สิ่งที่คอยย้ำเตือนถึงการครองสติ ทำความดี และ มีศิลธรรม ควบคู่กับการดำรงชีวิต
เพราะฉะนั้น การลอดใต้สะพานลอย ลอดใต้ราวตากผ้า ที่เชื่อกันว่าจะทำให้เสื่อมได้ มันผิดตรรกะของประโยคข้างบนครับ
เพราะถ้าเสื่อมจริง ตึกรามบ้านช่องในประเทศไทย คง'ห้าม' มีชั้นเกิน 1 ชั้น และ พระจะต้องอยู่บนหลังคาเท่านั้น แม้แต่เครื่องบินยังห้ามบินผ่าน สวมพระไปเดินตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะมีผู้คนทั้งหญิงชายเดินไปมาอยู่มากมาย ในแต่ละชั้น ถ้าเราสวมพระแล้วอยู่ชั้นล่างสุดจะเป็นอย่างไร
        ผมเชื่อตามที่มีคนกล่าวว่ามันน่าจะเป็นกุศโลบาย  (อุบาย+กุศล ความหมายคือ อุบายที่เป็นกุศล) กล่าวคืออุบายของคนโบราณ ที่ออกกฏกติกามาเพื่อ 'แอบ' สอนให้เราทำดี ไม่ทำชั่วครับ ยกตัวอย่างเช่น การห้ามลอดใต้ราวตากผ้า ผมว่า เขาห้าม การไม่เดินในที่ที่คนปกติเขาไม่เดินกัน ลองนึกภาพบ้านเรือนสมัยก่อน เราจะตากผ้ากันหลัง หรือ ข้างบ้าน มากกว่าหน้าบ้าน
การที่เราเดินลอดใต้ราวดังกล่าว มันส่อถึง การลักลอบ การแอบเข้าบ้าน โดยไม่ผ่านทางเดินหน้าบ้าน ซึ่งมันผิดวิสัย และอาจจะนำไปสู่เรื่องเสื่อมต่างๆได้ในที่สุดครับ
          
         กลับมาที่การไขปริศนาของ เส้นแบ่งความตาย ของหลวงพ่อเดิม ที่มีต่อการอาราธนาพระเครื่องที่เกิดต่อหน้าผู้คนมากมาย หลายคนด้วยกัน ว่ากันว่าวันหนึ่งมีคนวิ่งกระหืดกระหอบ มากราบเรียนหลวงพ่อเดิม ว่าลูกศิษย์รักของท่านคนหนึ่งถูกยิงตาย หลวงพ่อเดิมเมื่อทราบข่าว ก็ขี่ช้างเพื่อไปดูศพ ที่อยู่ไม่ไกล จากวัดหนองโพธิ์นัก เมื่อท่านไปถึง ตำรวจกำลังพลิกศพอยู่พอดี หลวงพ่อเดิมท่านจึงสั่งให้ตำรวจ นำเหรียญรูปท่านซึ่งผู้ตายแขวนคออยู่ที่คอ เป็นเหรียญรูปไข่ รุ่นปี พ.ศ. 2482 ที่เคยมีคนมีประสบการณ์ด้านคงกระพัน มานับครั้งไม่ถ้วน ไปวางห่างจากศพ ประมาณหนึ่งวา แล้วท่างจึงสั่งให้ตำรวจท่านหนึ่ง ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ยิงไปที่เหรียญรูปเหมือนของท่าน แต่ตำรวจท่านนั้นไม่กล้ายิง จนท่านต้องสั่งกำชับให้ยิงได้
ปรากฎว่าไม่ว่าจะยิงสักกี่นัด ปืนก็ไม่ลั่น และจะเปลี่ยนปืนสักกี่กระบอกกระสุน ปืนก็ไม่ทำงาน แล้วท่านก็ได้มอบเหรียญนั้นให้แก่ตำรวจที่ยิงไป แล้วท่านก็เดินทางกลับวัดหนองโพ แต่ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับ ท่านได้พูดไว้ให้เป็นปริศนาธรรมให้หลายๆคนคลายข้อสงสัยท่านกล่าวไว้ว่า
ถ้ามัน (หมายถึงผู้ตาย) ขยับเดินออกไปอีกสองก้าว มันจะไม่ตาย หรือถ้ามันมาถึงที่ตรงนี้เร็วหรือช้ากว่านี้ไปอีกสักหน่อย
มันก็จะไม่ตาย ที่มันตายเพราะถึงฆาตถึงเวลา ไม่ใช่เพราะเหรียญของข้า ...

         จาก คำพูดของหลวงพ่อเดิม น่าจะอธิบายได้ว่า คนเรานั้นเมื่อถึงที่ต้องตาย คำว่าถึงที่ก็คือถึงฆาต ชะตาขาดมักไม่รอด นอกจากจะมีบุญเก่ามาช่วยหนุนช่วยเสริมเอาไว้ มาช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้างเท่านั้น คนที่รู้จักเคล็ดลับนี้ ก็จะแก้ไขได้ เรื่องนี้เคยปรากฎมาแล้วในสมัยพุทธการ โดยพระพุทธเจ้าทรงให้พระสงฆ์ สวดมนต์ช่วยเหลือสามเณรที่มีชื่อว่าอายุวัฒนะ ให้รอดตายมาแล้ว นอกจากจะไขปริศนาเส้นแบ่งแห่งความตายแล้วหลวงพ่อเดิม ได้ตอบคำถามของศิษย์ที่ขี้สงสัย ที่ถามท่านเกี่ยวกับการใช้เครื่องรางของขลังติดตัว ว่ามีข้อห้ามประการใดบ้าง หลวงพ่อเดิมท่านตอบว่า พระเครื่องรางของขลังของท่านมีฤทธิ์เหมือนงูเห่า ที่เลื้อยผ่าน กองอุจจาระ ปัสสาวะ เพราะมันไม่รู้ว่าคือสถานที่ใด แต่พิษมันก็คงมีอยู่และกัดคนตาย พระเครื่องก็เป็นเช่นเดียวกัน หากปราศจากเจตนาแล้ว เพชรยังไง ก็ยังเป็นเพชร อยู่เสมอ...

ดูคอลัมน์ * ควบม้า..ชมเมือง *

วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ผงวิเศษ 5 ประการในพระสมเด็จ / ผงมหาจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่ / ผงยาวาสนาจินดามณี / ผงวิเศษหลวงพ่อปาน / ผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ / ผงพุทธคุณหลวงปู่โต๊ะ / ผงวัดสัมฤทธิ์ / แร่บางไผ่

วันนี้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาคุณวิเศษต่าง หรือสรรพคุณของผงที่ครูบาอาจารย์สร้างไว้ในแผ่นดิน ข้อความทั้งหมดเรียบเรียงโดย ท่าน Hamac จึงขออนุญาตนำมาลงเพื่อเป็นการศึกษาของสาธารณชนต่อไปครับ

พระสมเด็จ แห่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี

ผงวิเศษ 5 ประการ และวิธีการปลุกเสก (จากหนังสือของ อ.ตรียัมปวาย)

ผงวิเศษ 5 ประการ
คือ "ผงอิธิเจ, ผงปถมัง, ผงมหาราช, ผงพุทธคุณ, และ ผงตรีนิสิงเห"
ผงวิเศษ 5 ประการ มิได้เกิดจากการนำผง 5 ชนิดมารวมกัน
แต่เกิดจากผงชุดเดียวกันผ่านกรรมวิธี ถึง 5 ครั้ง

ขั้นแรก ทำดินสอผงวิเศษ ด้วยส่วนผสม คือ ดินโป่ง 7 โป่ง(ดินที่มีเกลือสินเธาว์ผุดเกรอะกรัง มีพบอยู่ตามป่าทั่วไป) , ดินท่า 7 ท่า (ดินจากท่าน้ำ 7 แห่งทั้งสองฝั่ง) , ดินเสาหลักเมือง 7 หลักเมือง, ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธานพระอุโบสถ, ดอกกาหลง, ยอดสวาท, ยอดรักซ้อน, ขี้ไคลเสมา (คราบไคลดินบนแผ่นเสมาที่แสดงขอบเขตของโบสถ์) , ขี้ไคลประตูวัง, ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก (คราบไคลดินจากเสาหลักคู่ สำหรับล่ามช้างเผือก) , ราชพฤกษ์ (ไม้ต้นราชพฤกษ์ตากแห้งป่นเป็นผง) , ชัยพฤกษ์(ไม้ต้นชัยพฤกษ์ตากแห้งป่นเป็นผง) , พลูร่วมใจ (ต้นพลูที่ใช้กินกับหมาก ขึ้นเป็นดงเป็นกอ บางครั้งจึงเรียกว่า พลูร่วมใจเพราะจะขึ้นพร้อมๆกัน ไม่ใช่ต้นที่ขึ้นแยกต้น แยกกอ) , พลูสองหาง (ในบรรดาใบพลู จะมีบางต้นที่น้อยมาก ปรากฏปลายใบแยกเป็น 2 แฉก) , กระแจะตะนาว (ชื่อต้นไม้ขนาดเล็ก ขึ้นในป่าเบญจพรรณ ต้นและกิ่งมีหนาม เปลือกขรุขระสีเทา ดอกเล็กสีขาวเป็นช่อสั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ท่อนไม้ใช้ฝนกับน้ำเป็นเครื่องประทินผิว) , น้ำมันเจ็ดรส (น้ำมันที่ได้จากของ 7 ประเภท จะเป็นพืชหรือสัตว์ก็ได้ ยิ่งหายากยิ่งดี) , และดินสอพอง มาผสมกัน ป่นละเอียดเจือน้ำพระพุทธมนต์ ปั้นเป็นแท่งดินสอ

กรรมวิธีทำผงวิเศษ กระทำในพระอุโบสถ เตรียมเครื่องสักการะหน้าพระประธาน กล่าวคาถาอัญเชิญครู ประกาศอัญเชิญเทพยดา ทำประสะน้ำมนต์พรมตัว(ชำระล้างตัวให้สะอาดแล้วเอาน้ำมนต์ราดชำระให้ทั่วร่างกาย) เรียกอักขระเข้าตัว(การเรียกหรือสวดมหาพุทธมนต์ต่างๆให้มาสถิตประสิทธิ์กับตัวเอง) และอัญเชิญครูเข้าตัว

ผงปถมัง เป็นผงเริ่มต้น นำดินสอผงวิเศษมาเขียนสูตร และลบออกเป็นผงปถมัง
มีอานุภาพหลายด้าน แต่หนักไปทาง คงกระพันชาตรี มหาอุด แคล้วคลาด กำบังล่องหนและป้องกันภูตผีปีศาจและคุณไสย

ผงอิธิเจ นำผงปถมังมาปั้นเป็นดินสอ แล้วเขียนสูตร ลบผงเป็นผงอิธิเจ
มีอานุภาพ ด้านเมตตามหานิยมอย่างสูงรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

ผงมหาราช นำผงอิธิเจ มาปั้นเป็นดินสอ แล้วเขียนสูตร ลบผงเป็นผงมหาราช
มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยมอย่าสูงป้องกัน และถอนคุณไสย และแคล้วคลาด

ผงพุทธคุณ นำผงมหาราช มาปั้นเป็นดินสอ แล้วเขียนสูตร ลบผงเกี่ยวกับพุทธคุณนานาประการ
ให้อานุภาพ ด้านเมตตามหานิยมอย่างสูง กำบัง สะเดาะ และล่องหน

ผงตรีนิสิงเห นำผงมหาราช มาปั้นเป็นดินสอ แล้วเขียนสูตร ลบผงเกี่ยวกับยันตร์ตรีนิสิงเหหรือยันตร์นารายณ์ถอดรูป แล้วมียันต์พระควัมบดี และยันต์ตราพระสีห์
มีอานุภาพด้าน เมตตามหานิยม ป้องกันถอนคุณไสย และภูตผี ป้องกันสัตว์เขี้ยวเล็บงา รักษาโรค อุบัติภัยอันตรายทั้งปวง

คาถาการปลุกเสกพระสมเด็จ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสถามเจ้าพระคุณว่า "พระเครื่องของหลวงพี่ปลุกเสกด้วยคาถาใด จึงได้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก"
เจ้าพระคุณ ตอบว่า "ปลุกเสกด้วยชินบัญชรคาถา"

คาถาชินบัญชร ได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ และพระอรหันต์สำคัญมากมาย
รวมทั้งอัญเชิญพระสูตรสำคัญ ทั้ง 7 สูตร คือ
1.รัตนสูตร มีคุณวิเศษทางป้องกันภูตผีปีศาจ และโรคระบาด
2.กรณีเมตสูตร มีคุณวิเศษทางมหานิยม ปัดรังควานภูตผีปีศาจ และอำนวยผลสำเร็จในการงาน
3.องคุลีมาลปริตร มีคุณวิเศษช่วยในการคลอดบุตร บำบัดโรค และมีสิริมงคล
4.ธชัคคสูตร ทำใจให้บันเทิง อาจหาญ บำราบภยันตรายที่เผชิญหน้าให้แคล้วคลาดไป
5.ขันธปริตร ป้องกันสัตว์เขี้ยวเล็บงาและอสรพิษน้อยใหญ่
6.โมรปริตร เป็นผลนิรันตราย แคล้วคลาดจาก ศาตราวุธ และภยันตรายทั้งปวง
7.อาฎานาฏิยปริตร ป้องกันภูติพราย อมนุษย์ และคุณไสยทั้งปวง


ตำนานพระกำลังจักรพรรดิ์

การสร้างพระเครื่องประเภทเนื้อปูนผสมผงมหาจักรพรรดิ์สูตรหลวงปู่

ในการสร้างพระเครื่องประเภทเนื้อปูนผสมผงมหาจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่นั้น จักสังเกตุเห็นได้ว่าหลวงปู่ดู่ท่านจะสร้างพระเครื่องไว้เพื่อเป็นพุทธานุสติแก่บรรดาศิษย์เพื่อให้ระลึกเสมอว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ทรงประเสริฐสุดหาที่เปรียบมิได้ ดังที่จะกล่าวในพระชุด "พระพุทธเจ้าเหนือพรหม"นี้ ลป.ดู่ท่านได้หยิบยกพระพุทธตำนานตอนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระตำนานที่อยู่ในบทสวดพระคาถาพาหุงบทหนึ่งว่า

"ทุคคาหะทิฏฐิ ภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พหรมมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ"

...พระคาถาบทพาหุงบทนี้ ตามพุทธตำนานได้กล่าวถึงตอนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปราบทิฐิของท้าวผกาพรหมที่คิดว่าตนเอง มีอิทธิฤทธิ์มากและมีความอมตะไม่ตาย จึงคิดท้าพระพุทธเจ้าให้มาลองอิทธิฤทธิ์กัน โดยการท้าลองครั้งนี้คือให้อีกฝ่ายซ่อนและอีกฝ่ายหา หากผู้ใดซ่อนและผู้หา หาไม่พบถือว่าชนะและฝ่ายแพ้จะต้องมาเป็นสาวกของฝ่ายชนะ...เริ่มจากฝ่ายท้าวผกาพรหมเป็นผู้ซ่อนก่อน ท้าวผกาพรหมแปลงกายเป็นธุลีเม็ดทรายหนึ่งเม็ดโดยซ่อนตนเองปะปนอยู่ในทะเลทราย ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ใช้ฌาณ ตรวจหาไม่นานก็ค้นพบท้าวผกาและชี้ถูกว่าท้าวผกาพรหมเป็นเม็ดทรายเม็ดไหนอย่างถูกต้องครั้งนี้ท้าวผกาพรหมจึงเป็นฝ่ายแพ้ พอถึงคราวพระพุทธเจ้าเป็นผู้ซ่อนบ้าง พระพุทธองค์ทรงย่อพระวรกายให้เล็กลงแล้วเสด็จขึ้นไปประทับซ่อนอยู่ในมวยผมบนเศียรของท้าวผกาพรหม ฝ่ายหาคือท้าวผกาพรหม ก็เริ่มตามหาพระพุทธเจ้าหายังไงก็หาไม่เจอ หาทั่วทั้ง๓ภพ(ภพโลก ภพสวรรค์ ภพนรก)ก็หาไม่เจอ หาไปสุดขอบแดนจักรวาลก็หาไม่เจอ ท้าวผกาพหรมจึงยอมแพ้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าท้าว ผกาพรหมลดทิฏฐิลงมากแล้ว พระพุทธองค์จึงคลายฤทธานุภาพกลับสู่สภาพเดิม และทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดท้าวผกาพรหม จนบรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่ขณะนี้เป็นพระอนาคามีแล้ว จักเข้าถึงพระนิพพาน ในยุคพระศรีอริยเมตไตรย จากนั้นมาจึงมีพระนามเรียกขานกันว่า "พระพรหม"...การนำบทสวดมหาจักพรรดิมาใช้ในการสร้างพระหลวงปู่ดู่ท่านเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังถึงการปลุกเสก หรืออธิษฐานจิตในวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกว่า "นอกจากการใช้พลังจิตในการปลุกเสกแล้ว ที่ท่านใช้อยู่เสมอคือ บทสวดมนต์ตามเจ็ดตำนาน" ซึ่งท่านบอกว่า ดีกว่าคาถาอาคมมากมาย เพราะเป็นเรื่องราวของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งนั้น ไม่จัดเป็นเดรัจฉานวิชชา โดยบทที่ท่านสวดทำทุกครั้งคือ บทพระพุทธเจ้าทรมานพญาชมพูบดี หรือที่เรียกกันว่า "บทชมพูปติสูตร"ซึ่งแสดงถึงอำนาจหรือบารมีของพระพุทธเจ้าผู้เป็นครูของมนุษย์และ เทวดาทั้งปวง แสดงถึงธรรมที่ชนะอธรรม
พุทธคุณที่หลวงปู่ดู่หลวงตาม้า ท่านนำมาใช้ในการสร้างพระ

ลป.ดู่ ท่านเรียกพระคาถาบทนี้ว่า "คาถามหาจักรพรรดิ" โดยทั้งนี้ในการปลุกเสกหลวงปู่ ท่านอารธนากำลังของบารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ท่านอันเป็นที่สุด โดยน้อมนำอารธนา บารมีรวมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตั้งแต่องค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบัน บรมมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลายโดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต บารมีรวมพระเจ้าจักรพรรดิตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด


บทสวดพระมหาจักรพรรดิ

นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ

มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา

พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา

อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง

อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย

อะหังวันทามิ สัพพะโส

พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ

บรรดาลูกหลานวงษ์วานว่านเครือต่างทราบกันดีใครมีไว้ใช่ป้อง กันอันตรายอย่างเดียวที่ไหนหลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านรับรองกับลูกศิษย์ ท่านพระหลวงปู่ดู่ ป้องกันนิวเคลียร์ได้หลวงตาม้า ท่านเมตตาบอกว่า พระหลวงปู่ ป้องกันโรคระบาดและป้องกันไข้หวัดนกได้ให้ใส่ไว้

ส่วนผสมในมวลสารของเนื้อพระ
ในส่วนผสมมวลสารของเนื้อพระพุทธเจ้าเหนือพรหมที่ลป.ดู่ท่านนำมาจัดสร้าง ท่านจะนำผงพุทธคุณ(ผงมหาจักรพรรดิ์)ผสมกับปูนขาวใส่เกศาผสมลงโดยใช้น้ำเป็นตัวประสานผสมจนได้ที่แล้วจึงนำเนื้อมวลสาร เทลงในแบบพิมพ์ เวลาแห้งเนื้อพระด้านหลังจะเป็นคราบลอยเหมือนหัวกระทิ ลักษณะของเนื้อพระจะไม่แน่นตัวนัก เนื้อจะฟูๆ พระพิมพ์นี้ สามารถแบ่งโซนหลักของเนื้อพระได้๒วรรณะคือ สีขาวนวล และออกสี เหลืองเนื่องจาก ลป.ดู่ท่านนำไปแช่ในน้ำชาท่ท่านเสก หรือที่ลป.ดู่ท่านมักจะเรียกว่าน้ำมนต์นั้นเอง ส่วนการทำผงจักรพรรดินั้นหลวงปู่จะทำภายในกุฎิท่านโดยมีกรรมวิธีการสร้างซึ่งเป็นวิชาขั้นสูง ส่วนพระผงจักรพรรดิยุคปัจจุบันที่ทำและสร้างโดยหลวงตาม้านิยมนำเถาพระธาตุหลวงปู่หรือเกศาหลวงปู่ดู่หรือหลวงตาม้ามาเป็นมวลสาร ด้วยในรุ่นพิเศษบางรุ่นแต่โดยปกติมวลสารหลักก็คือผงจักรพรรดินั้นเอง

สูตรหลวงปู่ดู่ที่ท่านหลวงตาม้าสร้าง
วิชาในการสร้างพระผงจักรพรรดินั้นหลวงปู่ดู่ ได้สอนท่านหลวงตาม้าและ ในปัจจุบันนี้ท่านหลวงตาเป็นผู้ทรงวิชา สร้างพระผงจักรพรรดิไว้ ความรู้เกี่ยวกับพระผงจักรพรรดิ

พระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่หลวงตาม้ามีพุทธคุณอย่างไร?
พระผงจักรพรรดิประโยชน์มากโดยเป็นพระที่ใช้ใน การทำกรรมฐานและบูชาติดตัวเพื่อคุ้มครอง เป็นศิริมงคลแก่ตนเองและเป็นพลังงานบุญ แก่ภพภูมิโดยรอบ หลวงปู่ดู่กล่าวไว้ว่าพระรุ่นนี้ที่มีผงจักรพรรดิ ของท่านป้องกันนิวเคลียร์ได้
พระรุ่นนี้เหมาะสมเป็นอย่างมากในการเจริญกรรมฐาน หลวงปู่ดู่สมัยที่ท่านยังทรงธาตุขันธ์ อยู่ท่านสร้างพระผงออกมาเพื่อให้ ลูกศิษย์ได้ใช้ในการเจริญพระกรรมฐานให้ ก้าวหน้าได้โดยไวโดยเป็นการใช้พลังจากองค์พระ ในเนื้อพระผงจักรพรรดิของหลวงตาม้าทุกรุ่นบรรจุมวลสาร ผงจักพรรดิหลวงปู่ดู่ที่ท่านหลวงตาท่าน ได้รับมาจากหลวงปู่ดู่โดยตรง และช่วงไหนสวดมนต์นั่งสมาธิแผ่บุญ แผ่เมตตาสม่ำเสมอบุญจะเกิดที่ตัวเราดีมากยิ่งขึ้นครับทั้งพระธาตุบน องค์พระจะขึ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย (พระผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ขึ้นพระธาตุทุกองค์) หลวงตาเคยเมตตากล่าวให้ฟังว่าพระที่ท่านทำขึ้นมาชุด นี้เป็นพระกำลังของพระโพธิสัตว์จึงมีพุทธคุณและ กำลังบารมี 10 เข้มข้นนำไปใช้ประโยชน์ในด้านกุศลได้ร้อยแปดพันเก้า หากนำไปบูชาก็จะเป็นการทำให้ภพภูมิเทวดาผีสางสัมภเวสีที่ผ่านไป ผ่านมารับกระแสตรงนี้เข้าไปปรับให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยนอก (โดยการกำพระขอกำลังพระ/หลวงปู่สวดจักรพรรดิแล้วน้อมบุญไป) นอกนั้นยังมีพุทธคุณเข้มสำหรับการเจริญภาวนากรรมฐาน โดยการเอามากำก่อนนั่งสมาธิแล้วกำหนดจิตเข้าไปที่องค์พระ จะทำให้ภาวนาได้ง่ายขึ้นเพราะมีพลังงานจากองค์พระมาเสริมที่ ดวงจิตด้วยจากนั้นจึงไปทำสมาธิในแบบที่ท่านถนัดโดยเป็นวิธีการที่นิยมกันในหมู่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่เรื่อยมาจนถึงหลวงตาม้า ในปัจจุบันและหากนำพระไปแช่น้ำก็สามารถทำเป็นน้ำมนต์รักษา โรคหรือเป็นศิริมงคลแก่ตนก่อนออกไปดำเนินชีวิตก็ยังได้ หากนำพระไปแช่น้ำก็สามารถทำเป็นน้ำมนต์ รักษาโรคหรือเป็นศิริมงคล แก่ตนก่อนออกไปดำเนินชีวิตก็ยังได้ อฐิษฐานเอาโดยใช้คาถาจักรพรรดิ ยังไงก็ให้ตั้งอยู่ในความดีไว้ด้วย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งและศีล5เป็นฐาน จะช่วยให้เราทรงในความดี และพุทธคุณช่วยเราได้เต็มที่



คุณอันวิเศษในผงยาวาสนาจินดามณี

สูตรการสร้างยาจินดามณี
เมื่อกล่าวถึงผงยาจินดามณี ต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นสูตรการสร้างวัตถุมงคล ที่ส่งให้ชื่อเสียง
ของวัดกลางบางแก้ว โดยเฉพาะหลวงปู่บุญโด่งดังขจรขจาย อุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีนั้นมีคุณครอบ
จักรวาล แม้แต่สามารถฉุดกระชากจิตวิญญาณที่ใกล้จะดับสูญ ให้กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาสั่งเสียข้อความต่างๆ
แก่ญาติโยมได้ สูตรการสร้างยาจินดามณีนี้ เป็นของเก่าแก่ดั่งเดิมสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว สำหรับ
หลวงปู่บุญนั้นท่านก็ได้รับสืบต่อมาจากพระปลัดทอง ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่าน

กรรมวิธีการสร้างนั้น ประกอบด้วยพิธีกรรมและเครื่องยาแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นเครื่องยานั้น
ตำรับโบราณได้พรรณาเอาไว้อย่างกว้างๆ ตามตำราว่า

"จินดามณีโอสถอันพิลาส" ประกอบดอกคลาด ดอกจันทร์เกสรบุษบัน เปราะหอม กำยานโกฐสอ
โกฐเขมา ทองน้ำประสาน เปลือกกุมชลธาร กรุงเขมาเท่ากัน ผสมแล้วตำบดพิมเสน ชะมดน้ำผึ้ง รวงรัน
กฤษณา น้ำมะนาว น้ำมะเขือขื่นคั้นผสมยาเข้าด้วยกัน บดปั้นตากกินเป็นยาวาสนาเลิศล้ำตำราในโลกแผ่นดิน
อุปเท่ห์กล่าวไว้ ผู้ใดได้กินจะสวัสดิโสภิณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุเงินทองจักพูนกูลนองกว่าโลกหญิงชาย
นำมาบูชาอหิวาต์ก็มิวาย ระงับอันตรายทั้งสี่กิริยาโทษหนักเท่าหนัก มาตรแม้นประจักษ์ถึงกาลมรณา
ถ้าแม้นใครกินซึ่งยาวาสนากลับน้อยถอยคลาเคลื่อนคลายหายเอย

นอกจากนี้ยังได้แยกเครื่องยาไว้อย่างละเอียดว่า สมุนไพชนิดใดจะเอาส่วนไหนประกอบกับอะไร
บดเป็นผงละเอียด เคล้ากับตัวประสานสมุนไพรนั้นมีมากมายหลายชนิด แยกออกเป็นสันส่วนว่า ส่วนไหน
ใช้เท่าใด และให้ลงหรือเสกด้วยคาถาอย่างไรบ้าง เมื่อปลุกเสกเครื่องยาแต่ละส่วนตามคาถาที่กำกับแล้ว
ก็เอาเครื่องยามาผสมกับมีคาถาฤาษีประสมยาประกอบไว้อีกโสดหนึ่ง ในเรื่องสัดส่วนของสมุนไพรตลอดจน
สมุนไพรนอกจากที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น และพระคาถากำกับการเสกสมุนไพรมากมายหลายบท

จากนั้นท่านได้แจกแจงรายละเอียดเอาไว้ในส่วนการลงลูกหินและแม่หิน ซึ่งจะใช้บดยาว่า
"แม่หินต้องลงอักขระเลขยันต์อีกแบบหนึ่งและมีคาถาประกอบขณะบดยา"

การจัดพิธีท่านให้เลือกเอาวันเพ็ญขึ้น 1๑๕ ค่ำกลางเดือน ๑๒ ซึ่งหากปีใดได้ราชาฤกษ์หรือเพชรฤกษ์
จัดว่าดีเยี่ยมให้จัดเครื่องสังเวยเทวดาบัตรพลีต่างๆ รวมทั้งราชวัตร ฉัตรธงภายในพระอุโบสถ และมีสายสิญจน์
รอบพระอุโบสถแต่ละทิศให้ลงยันต์ประจำทิศด้วยผ้าแดง ด้านหน้าพระอุโบสถแต่ละทิศ ให้ลงยันต์ตรีนิสิงเห
และยันต์จินดามณีประกอบไว้เป็นพิเศษด้วย เมื่อได้ฤกษ์ให้ชุมนุมเทวดา แล้วให้พระภิกษุและฆราวาส
ที่ร่วมพิธีพร้อมกัน โดยเฉพาะฆราวาสนั้น หากเป็นหญิงให้ใช้สาวพรหมจารีย์ ซึ่งรักษาศีลอุโบสถ (ศีล ๘)
มาแล้ว ๓ วัน ส่วนชายก็ให้รักษาศีลอุโบสถเช่นกัน

ผู้ร่วมพิธีปั้นเม็ดยา หรือกดพิมพ์พระจะต้องภาวนาพระคาถาไปด้วย ไม่ว่าเม็ดยา หรือพระพิมพ์ที่ปั้น
และกดเสร็จแล้วจะต้องนำไปปลุกเสกด้วยมนต์ขลังอีกอย่างน้อย ๗ เสาร์ ๗ อังคาร

การสร้างยาจินดามณีนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ยาวาสนา" ซึ่งมิใช่มีเฉพาะตำหรับของวัดกลางบางแก้ว
เท่านั้น วัดอื่นก็มีสร้างกัน เช่น วัดปากครองบางครก อ.บ้านแหลม จ. เพชรบุรี ก็มีการสร้างในสมัยของ
หลวงพ่อโศก (พระครูอโศกธรรมสาร) เกจิอาจารย์ผู้พระเดื่องนาม ในการสร้างปลัดขิก พระขรรค์และ
ผ้ายันต์ราชสีห์เส้นคู่ ตำหรับการสร้างผงยาจินดามณีของวัดปากคลองบางครกนี้ ก็มีกรรมวิธีการสร้างและอุปเท่ห์การใช้อย่างเดียวกันกับของวัดกลางบางแก้ว ผู้เขียนเข้าใจว่าคงเป็นตำราที่สืบทอดแตกแยกกัน
ออกไป เมื่อได้พูดถึสูตรผงยาจินดาตรีของทั้ง ๒ สำนักแล้ว ก็อยากจะนำอุปเท่ห์การใช้มาเขียนลงไว้
อย่างชัดเจน โดยขอกล่าวถึงอุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีตำหรับวัดกลางบางแก้วก่อน

ใครได้รับประทานยาจินดามณีแล้วจะบันดาลให้เกิดศิริสวัสดีและลาภผล หากบูชาเอาไว้จะป้องกัน
และรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ แม้แต่อหิวาตกโรคผู้ใดมีไว้จะปราศจากอันตรายใดๆ ในทุกอิริยาบถผู้ใดต้องโทษทัณฑ์ก็จะบรรเทาเบาบางลงได้ ผู้ใดป่วยหนักแม้แทบจะสิ้นชีวิต หากได้รับประทานอาจินดามณีแล้ว
ก็จักรอดตายฟื้นหายจากโรคนั้นสำหรับวิธีการใช้ยาขอยกเอามาเพียงบางส่วนดังนี้

ถ้าใช้รักษาอหิวาตกโรคให้เอายอดทับทิมต้มผสมกับกานพลูและน้ำปูนใส แล้วฝนเม็ดยาใส่ลงไป
ดื่มรับประทานหายจากโรคแล

แก้โรคเสมหะดีขึ้น(คนป่วยถ้าเสมหะตีขึ้นแล้ว มักจะไม่รอด) ให้ใช้ดีหมีผสมน้ำร้อน แล้วใส่ยาจินดามณีผสมลงไปรับประทาน

ถ้าเกิดคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล ให้เอายาใส่น้ำเสกด้วย "เอกัง จินดามณีมันตัง" เป็นเมตตามหานิยม
แล้วเอาน้ำประพรมศรีษะ เอาเม็ดยาอมไว้ตลอดเวลา จะชนะความทั้งสิ้นแล

หากจะให้ปัญญาดี ให้เสกด้วยพระคาถาต่อไปนี้ ๓ คาบ
"ตะโตโส ปัณฑิโต ปิหิโส อัตถะ ทัสสีมะโหสะ โถ" แล้วอมยาจะท่องมนต์คาถาสารพัดวิชา จำได้สิ้น
ที่หลงลืมก็จะระลึกได้อุปเท่ห์การใช้ผงยาจินดามณี ของวัดกลางบางแก้วนี้ยังมีอีกมาก เอาไว้กล่าวถึงใน

บทเฉพาะเกี่ยวกับพระคาถาอาคมของหลวงปู่บุญ
สิทธิการิยะ จะกล่าวถึงสรรพคุณวิเศษของยาจินดามณี ตำหรับวัดปากคลองบางครก (อันที่จริง
ก็ตำรับเดียวกันนั่นแหละครับ เพียงแต่แตกแยกออกไปเท่านั้น)

แก้โรคในจักษุ ๖ แก้ในจมูก ๓ ประการในลิ้น ๖ ประการ ในฟันในท้อง ๔ ประการ แก้ไขบั้นปลาย
ก็ได้แก้ลมมหาสดมภ์ แก้ลมราชยักษ์กุมภัณฑ์ยักษ์ แก้อ่อนเปลี้ยเพลียใจ คลื่นไส้เอาเจียรเป็นยาครรภ์
รักษา แก้หัวพิษ หัวกาฬ ละลอกน้ำ ละลอกไฟ

ผิวเป็นอัมพฤก อัมพาต ตายไปทั้งตัวก็ดีฝ่ายซ้ายขวาก็ดี ตีนมือ คาง ขากรรไกร ก็ดีหาสมประดี
ไม่ได้ไซร้ ให้เอาหญ้าฝรั่ง พิมเสนทองคำ บดด้วยยาละลายกรองลงไปได้สติลืมตามีน้ำตาไหล น้ำลายยืด
แล้วหายแล ถ้าคนไข้บีบมือเหมือนจะออกคำ แต่ออกมิได้ให้เอาดีหมีก็ได้ถ้าไม่มีดีงูก็ได้ ต้มน้ำให้ละลาย
ประมาณครึ่งถ้วยพริก ใส่เหล้าครึ่งให้กินเถิดถึงเสลดหางวัวตีขึ้นก็จับกลับหาย หายมากแล้ว

ถ้าผู้บ่าวสาว ชักดิ้นงักงอ หมดสติตีนมือเกร็ง มีมายาต่างๆ เหมือนผีสิงก็ดีกัดฟันหน้าเบี้ยว ให้เอาพิมเสน
มาบดด้วยยาใส่ฝิ่นรำหัส ให้ต้มน้ำขิงทุบ เอาน้ำอุ่นเยี่ยวหนูให้กิน ถ้ามิฟังให้เอาหัวหอม ๓-๔ หัวตำ คั้นน้ำ
บดยาให้กิน แก้กำหนัดกามราคะขึ้น เป็นลมเบื้อนสูงสงบและเลือดระดูทำพิษให้เอาเสนียด คำฝอยต้ม

แก้สวิงสวาย หน้ามืดตาลาย กระวนกระวายเป็นทุกข์ระส่ำทรวง หัวใจเต้นดังตีปลาเหงื่อกาฬแตก
บดยาใส่น้ำดอกไม้สด น้ำมะลิ บังหลวง กระดังงาก็ได้ ทั้งกินทั้งดมหายใจแลแก้ร้อนใน น้ำดอกไม้เทศ
แก้ทราง ละลายน้ำพ่น ชะโลมตัวหายแล

แก้เลือดตก น้ำมะขามเปียกครึ่งชามแกงแซกเหลือตัวผู้ แก้ลมบ้าหมู น้ำมะนาว แก้ไอมะนาวแทรกเกลือ

ตกลงป่วง ลงราก โรคห่า ละลายน้ำยา ด้วยน้ำฝนกินให้อิ่มหายพลัน ถ้ามิฟังเอาเปลือกมะม่วง ๓
เปลือก ต้มใส่ปูนน้อยหนึ่ง ต้ม ๓ เอา ๑ ละลายกินเถิดหาย

แก้บิดมูกเลือด ขมิ้นข้น ๓ แว่น ทายาฝิ่นหรือขี้ยากรอบงโรยลงปิ้งไฟเกรียม บดด้วยน้ำปูนใสใส่ยา
๑ เม็ดกิน ๓ ที หายดีนัก แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อใช้น้ำขิงต้ม

แก้โรค อุปทม ทุเลาวสา มุตกิต มุตฆาต ยักน้ำกระสายธาตุ ๔ ต้ม ให้ถ่ายใช้เกลือหนัก ๑ ชั่ง
ธาตุหนักก็เพิ่มขึ้น ใบมะขามต้มเป็นกระสาย

องคชาติปวดแสบในลำปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะเป็นกำลังบานไม่รู้โรยขาว ทั้งห้าต้นแทรกสารส้ม
รำหัสละลายยากินเถิดหาย มักหนักถ่วงท้องน้อย บางครั้งมีแน่นให้เอาใบมะดัน ๙ ใบลงด้วยนวหรคุณต้ม
แทรกสารส้มกินหาย เมื่อทุเลาแล้วแต่งยาชื่อกษัยองคสุตรกินเสียหายแล

แก้หัวพิษ หัวกาฬ หัวละลอก ใช้น้ำครำฝนยาทาใช้น้ำขี้เถ้าดินเผาไฟก็ได้ใบมหากาฬตำก็ได้

แก้บาดทะยัก เอาผักปราบตำใส่ปูน น้ำมะนาวบีบลงในยานี้ทาหาย ถ้าชักกระตุกแล้วให้รีบทาเถิด
ยักยาอื่นตายแล

อนึ่งทารกแรกเกิด ให้เอายาฝนกับน้ำผึ้งรวงแล้วหยอดให้ทารกนั้นกิน ๓ วันแรกเสียงจะดีนักแล
เลี้ยงง่ายปัญญาดีแล

ถ้าให้มีปัญญาพาที ให้เสกด้วยพระคาถานี้ ๓ จบ แล้วอมยาไว้จะเล่าบ่นมนต์คาถาสารพัดวิชาจำได้สิ้น
ที่เลือกลืมหลงก็นจะรำลึกได้แล

ให้เสกด้วยมนต์มหาจินดาติดตัวไปเป็นเสน่ห์บังเกิดลาภผลที่ตนปรารถนาแล

ให้เสกด้วย พัสสมิงกิเนนโตฯ สู้ความชนะ

ให้เสกด้วย เอกจินดา มณีมนตํ ติดตนไปเป็นมหานิยมภาวนา อุอากะสะ ทำการไร่นามิเหนื่อยแล

ให้ภาวนาด้วยบท ยันทุนนิมิตตัง จบหนึ่งเอายาติดตัวไว้กลัวลางนิมิตร้ายแล

อมยาแล้วนั่งเหนือลมภาวนา อิตถีจิตตํ ปิยํ มะมะ รักและหลงเรา จากไปมิได้แล

เมื่อจะเดินทางไปสารทิศ เข้าหายเจ้านายผู้ใหญ่ ใช้ยานี้แช่น้ำใช้น้ำนั้นสระหัวอมยา แล้วภาวนา
สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ ๗ คาบผู้ใหญ่ เจ้านายหายโกรธ ช่วยเหลือเราทุกทางเลย

ถ้าเผชิญด้วยหมู่ศัตรูหมู่ร้าย ให้อมยาแล้วภาวนาพามานา อุกะสะนะทุ ๘ คาบ ชนะศัตรู ศัตรูทำร้าย
มิได้ แคล้วคลาดสารพัดแล

เอายาติดตัวไปป้องกันสรรพโรคภ้ย ป้องกันเสนียดจัญไร กันย่ำยีด้วยคุณไสย คุณผี คุณคน สารพัด
พิษ ผิดสำแดง เมื่อต้องยาเบื่อมา เอารากมะปรางหนึ่ง หัวนุมานกระทบแท่งหนึ่ง ฝนทำน้ำกระสาย หรือ
เอาแต่อย่างหนึ่งก็ได้กินเถิดมิเป็นไรอย่าประมาทเลย เคยแก้ยาสั่งมาแล้ว ถ้าติดตัวไปมิต้องเราแล

ให้มีติดตัวถึงราวอับจนจะได้ใช้ ตามืด หูมืด ใช้ได้ทุกเมื่อ มีอำนาจวิเศษคุณมากตีค่าไว้ถึง ๘ ชั่งทองแล

ที่ต้องเอาเกล็ดและฝอยของยาจินดามณีหรือยาวาสนาตำรับวัดปากคลองบางครก อ.บ้านแหลม
จ.เพชรบุรี มาลงไว้เสียยืดยาว ก็เพราะว่าต้องการให้ผู้อ่านเทียบเคียงกันดูว่าทั้งตัวยาและอุปเท่ห์การใช้นั้น
มีส่วนเหมือนและคล้ายคลึงกันมากซึ่งก็ไม่ใช้เรื่องแปลก เพราะสูตรดั่งเดิมของการสร้างยาจินดามณีนั้น
เป็นศัตรูเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพียงแต่แตกสาขาออกไปหลายสาย โดยเฉพาะสายวัดกลางบางแก้วนั้น
ได้สืบทอดมาแต่ท่านเจ้าคุณวัดราชนัดดาที่มามีชื่อเสียงแพร่หลายกว่าสายอื่นนั้น ก็คงเนื่องจากตบะบารมี
ของหลวงปู่บุญท่านสูงส่งและแก่กล้ากว่าเท่านั้นเอง แต่ก็ใช้ว่าสูตรยาจินดามณีของสำนักอื่นไม่มีหรือมี
แต่จะด้อยสรรพคุณกว่าก็หาไม่ เพราะอันพระเถราจารย์เจ้าในยุคเก่าๆ นั้น ท่านเชี่ยวชาญเข้มขลังไม่แพ้กัน
หรอกครับ แต่ละท่านต่างก็ยกย่องซึ่งกันและกัน แต่มาชั้นหลังรุ่นพวกเราเหล่าลูกศิษย์ชักจะมีคติถือครูบา
อาจารย์ถือสำนัก แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเสียแล้ว ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเลยครับ อย่างไรเสียก็ควรจะช่วยกัน
รักและอนุรักษ์ของเก่าแก่ดั่งเดิมเอาไว้เถอะครับ แม้จะต่างวัด ต่างสำนักกันก็อย่าได้มองข้ามหรือดูแคลน กันนักเลย


พระคาถาเสกยาจินดามณี 
"จินดามณี ปิยังมันตัง ยะสังธาสังโกนัง อุปะสันติ สิเนหัง มาตาปิตาวะ โอระหัง ปะโพตันจะ
มหาราชา ตะวังมังโปสัตถุ โนทีปัง กาเรเทโว สุโป เสทิ กิญจิ เทโว เย สักโก ปัชชัง ทัสมิง กินเนวา
ทัตตาปิยัง กันตัง สาริปุตโต ภวันตุ เม สิทธิลาภัง ชนานะเย มณีจินดา ปิยัง จะ ธะนังสัพเพชะนา
พหูชะนา ปิยังมะมะ"

มนต์จินดาบทนี้มีคุณเป็นเอนกประการ ขอให้ผู้มีเม็ดยาหรือพระยาจินดามณี หมั่นท่องบนภาวนาเป็นประจำ จะช่วยเสริมอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ของยาให้บังเกิดสรรพคุณเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่หากท่านยังไม่มีเม็ดยา หรือพระยาจินดามณี ถ้าจะจดจำเอาไว้สวดภาวนาอยู่เป็นนิจก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด พุทธคุณนั้นมากหลาย

โดยจะขอจำแนกแจกแจงตามวิธีใช้ดังต่อไปนี้

ขอทบทวนบทที่เขียนไปแล้ว ๒ บทด้วยคือ
ถ้าเกิดคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล ให้เอายาใส่น้ำเสกด้วย "เอกัง จินตามณีมันตัง" เป็นเมตตามหานิยม แล้ว
เอาน้ำปะพรมศรีษะ แล้วอมเม็ดยาไว้ตลอดเวลาจะชนะความสิ้นแล และเป็นเมตตามหานิยมแก่คนทั้งปวง

ถ้าให้ปัญญาดีเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ จบ "ตะโต โส ปัณฑิโต ปีหิโส อัตถะทัสสิ มะโหสะโถ" แล้วอมยา
จะท่องบ่นมนต์คาถาสารพัดวิชาจำได้สิ้นที่หลงลืมก็จะรำลึกได้

ถ้าป้องกันงูและสัตว์พิษ ให้ท่องมนต์บทนี้ "เอกัง จินตามณี นาคา มันตัง" งูทุกชนิเจะไม่อาจทำอันตรายได้

ถ้าอยากจะให้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการงานท่านให้ภาวนามนต์ต่อไปนี้ "อุ อา กะ สะ"

ถ้าต้องการให้เหตุร้ายกลายเป็นดี ท่านให้ภาวนามนต์ต่อไปนี้ ให้ภาวนาด้วยบท
"ยันทุนนิมิตตัง อวมังคะลัญจะ"

ถ้าอยากให้คนรัก รักเราเป็นนิรันดร์ท่านให้อมเม็ดยาเอาไว้ แล้วนั่งเหนือลมภาวนามนต์
"อิตถี จิตตัง ปิยัง มะมะ"

เมื่อจะเดินทางไปสารทิศใด เข้าหาเจ้านาย ผู้ใหญ่ ให้เอายาแช่น้ำ ใช้น้ำนั้นสระผม อมเม็ดยา ไว้แล้ว
ภาวนา "สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ" ๗ คาบ ผู้ใหญ่เจ้านายหายโกรธ ช่วยเหลือเราทุกเมื่อ

ถ้าเผชิญศัตรูหมู่ปัจจามิตร ท่านให้อมเม็ดยาแล้วภาวนาว่า "พามานา อุ กะ สะ นะ ทุ" ๘ คาบ ชนะศัตรู
ศัตรูทำร้ายเรามิได้ แคล้วคลาดสารพัดแล


ผงวิเศษหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

 ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
พระครูวิหารกิจจานุการ หรือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดิมชื่อ ปาน นามสกุล สุทธาวงษ์ เกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ.2418 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 เมื่ออายุครบ 21 ปี เข้าอุปสมบท ณ พัทสีมาวัดบางนมโค เมื่อ พ.ศ.2439 มีหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จ้อย วัดบ้านแพน เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า โสนนโทอุปสมบทแล้วได้ศึกษาและได้ปฏิบัติในสำนักอาจารย์พอสมควร แล้วได้ไปศึกษาคันธาธุระ และวิปัสสนาธุระ ณ วัดสระเกศราชวรวิหาร กับวัดสังเวชวิศยาราม ในกรุงเทพมหานคร (จังหวัดพระนครในสมัยนั้น) และวัดเจ้าเจ็ดในอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังมีประวัติ(เป็นคำบอกเล่าจากพระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี) ว่าท่านได้เรียนวิชามาจากหลวงพ่อเนียม วัดน้อย และหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน จังหวัดสุพรรณบุรีอีกด้วย
หลวงพ่อปานได้เล่าเรียนศึกษาวิชากัมมัฏฐานจนท่านมีความรู้สามารถเป็นอย่างยิ่ง และเป็นแพทย์แผนโบราณที่มีคนไข้รักษาเดินทางมาให้ท่านรักษากับท่านไม่เว้นแต่ละวัน ท่านเป็นที่เคารพนับถือของชาวอยุธยา ข้าราชการ คหบดี และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ เช่น หม่อมเจ้าโฆษิต กรมพระนครสวรรค์ฯ พ.อ.หลวงพิชัยรณสิทธิ์ พระยาชนภาณพิสิทธิ์ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เป็นต้น
หลวงพ่อปานได้รับพระราชทานเป็น พระครูวิหารกิจจานุการเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2474

พระเครื่องของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

เมื่อหลวงพ่อปานท่านสร้างพระเนื้อดิน ท่านได้พิมพ์ ใบฝอย” (คำชี้แจง) วิธีใช้พระของท่านด้วย ในหนังสือสำคัญนี้ลงท้ายว่า : ได้แจกตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม พระพุทธศักราช 2460” แสดงว่าพระของท่านได้เริ่มสร้างแจกตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2460 หรืออาจเป็น พ.ศ.2461 หากนับศักราชแบบในปัจจุบัน แต่ก่อนหน้านั้น ท่านอาจจะสร้างพระเนื้อดินบ้างแล้ว ซึ่งคนเรียกกันว่า พิมพ์โบราณฝีมือช่างไม่สวยงามเท่าพิมพ์มาตรฐาน
พระเนื้อดินของท่านแบ่งออกได้เป็น 6 พิมพ์ทรง คือ
1. พิมพ์ขี่ไก่
2. พิมพ์ขี่ครุฑ
3. พิมพ์ขี่เม่น
4. พิมพ์ขี่นก
5. พิมพ์ขี่ปลา
6. พิมพ์ขี่หนุมาน
แต่ละแม่พิมพ์ยังแบ่งเป็นพิมพ์ย่อยอีกหลายพิมพ์
ขั้นตอนการสร้างพระของหลวงพ่อปาน
1. ทำผงพระพุทธคุณ ท่านทำผงและลบผงด้วยตนเอง ทำเฉพาะในระหว่างวันเข้าพรรษาเท่านั้น ผงที่ทำได้แก่ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห และผงมหาราช ทำโดยปั้นดินสอพองเป็นแท่ง เขียนอักขระลงบนกระดานแล้วลบผงรวบรวมไว้

กรรมวิธีในการสร้างพระ
หลวงพ่อปานท่านกล่าวว่า หัวใจสำคัญในการสร้างพระก็คือ ผงวิเศษที่บรรจุอยู่ในองค์พระการทำ ผงวิเศษหัวใจสัตว์จะกระทำในพระอุโบสถโดยนั่งสมาธิเขียนอักขระเลขยันต์หัวใจของสัตว์ต่างๆ ทั้ง 6 ชนิดที่หลวงพ่อปานเห็นมาในนิมิตแล้วลบผงวิเศษนี้ออกมา หัวใจนี้ท่านมิได้ถ่ายทอดให้กับผู้ใดเพราะถือเป็นวาสนาเฉพาะบุคคล มีหลวงพ่อปานเป็นคนแรกที่ทำได้และเป็นคนสุดท้ายไม่มีการสืบทอด การทำผงพระนี้ยากมากต้องมีสมาบัติ 8 รูป สัตว์ทั้ง 6 ชนิด คือ ไก่ ครุฑ หนุมาน ปลา เม่น และนก นั้น หากจะทำชนิดใดก็ต้องล็อกคาถาของสัตว์ชนิดนั้นมาทำผง เช่นจะทำพระขี่นก จะเอาผ้าขาวมาเสกให้เป็นนกแล้วกางปีกออก จะมีพระคาถาอยู่ในปีกแล้วล็อกพระคาถามาทำผง เมื่อได้ผงมาก็ต้องนั่งปลุกเสกในโบสถ์ อดข้าว 7 วัน 7 คืน ออกไปไหนไม่ได้เลยต้องเข้าสมาบัติตลอดขณะที่ปลุกเสกพระอยู่ในโบสถ์ จะมีการตั้งบาตรน้ำมนต์ไว้สี่มุม เวลาบริกรรมคาถาบรรดาคุณไสยต่างๆ ที่มีผู้กระทำมาในอากาศก็จะกระทบกับพระเวทย์ของหลวงพ่อปาน แล้วร่วงหล่นสู่บาตน้ำมนต์ มีเสียงดังอยู่ตลอดเวลา ถือเป็นการตัดไม้ข่มนามพวกคุณไสย ผงวิเศษนี้จึงสามารถป้องกันคุณไสยได้

ผงวิเศษสูตรที่ 2 หลวงพ่อปานท่านใช้ ผงวิเศษจากยันต์เกราะเพชรโดยตั้งสมาธิเขียนยันต์บนกระดานชนวน แล้วชักยันต์ขึ้นแล้วลบผงมา ต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างสูงเพราะต้องใช้เวลายาวนานมากกว่าจะลบผงออกมาได้และต้องถูกต้องทุกขั้นตอนตามที่ตำราระบุไว้จึงจะมีความขลังและศักดิ์สิทธิ์

ผงวิเศษสูตรสุดท้ายคือ ผงวิเศษ 5 ประการประกอบด้วย ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงตรีนสิงเห และผงพระพุทธคุณ อันเป็นยอดของผงวิเศษที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังฯ หลวงปู่ภู วัดอินทร์ และพระปิลันทน์ วัดระฆังฯ ใช้เป็นส่วนผสมในเนื้อมวลสารของพระเครื่องที่ท่านสร้าง อันทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

หลวงพ่อปานใช้เวลาทำอยู่ตลอดพรรษาจนมีจำนวนมากพอผงวิเศษที่ได้มาทั้งหมดนี้ นับเป็นผงที่มีพุทธคุณเอกอนันต์ใช้งานสารพัดอย่างเป็นเลิศเรียกว่าเป็น กฤตยาคมแฝดที่พระพิมพ์อื่นๆ ไม่มีขั้นตอนการสร้างองค์พระหลวงพ่อปานจะนำดินขุยปูและดินนวลหรือดินเหนียวในทุ่งนาที่ขุดลงไปค่อนข้างลึกเพื่อให้ได้เนื้อดินที่ละเอียดซึ่งชาวบ้านหามาให้นั้น มากรองบดและนวด ให้เนื้อดินเหนียวและเนียน จากนั้นแบ่งออกเป็นก้อนเล็กๆ นำไปกดกับแม่พิมพ์พระที่เตรียมไว้วิธีการนำพระออกจากแม่พิมพ์ของหลวงพ่อปานก็แตกต่างจากพระคณาจารย์ท่านอื่น คือจะใช้ไม้ไผ่เหลาให้ปลายแหลมๆ แล้วเสียบที่ด้านบนเศียรพระงัดพระออกจากพิมพ์ ซึ่งจะเกิดเป็น เพื่อบรรจุ ผงวิเศษ

ดังนั้นขนาดและรูปทรงของรูจะไม่มีมาตรฐานแน่นอน ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ยาวบ้างสั้นบ้าง หรือเหลี่ยมบ้างกลมบ้าง แล้วหลวงพ่อก็จะนำพระที่กดพิมพ์เรียบร้อยไปบรรจุในบาตรจำนวนพอสมควร นำมาสุมด้วยแกลบจุดไฟเผาจนพระสุกแดงได้ที่จึงลาไปออก ปล่อยไว้ให้เย็นแล้วจึงนำมาบรรจุ ผงวิเศษลงในรูจนเต็ม ใช้ซีเมนต์ผสมปิดทับอีกทีหนึ่งเมื่อแห้งจะทนทานมาก บริเวณที่อุดนี้จะเป็นสีเทาของซีเมนต์ผสมกับสีขาวของผงวิเศษทุกองค์ อันเป็นเอกลักษณ์ประการหนึ่งพิธีปลุกเสกพระทำในพระอุโบสถ หลวงพ่อปานท่านจะตั้งบายศรีราชวัตรฉัตรธง หัวหมู ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว เมื่อปลุกเสกครบไตรมาส

หลวงพ่อจะย้ายกลับมาปลุกเสกที่กุฎิของท่านต่อทุกคืนจนถึงวันไหว้ครูประจำปีของท่าน แล้วจะตั้งพิธีเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ต้องอาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระปัจเจกะพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยสาวกทุกองค์ ตลอดจนพระพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย การชุมนุมบวงสรวงเช่นนี้ประเดี๋ยวก็เสร็จไม่ต้องถึงสามเดือนอย่างที่แล้วมา จงจำไว้ว่าการจะปลุกเสกพระหรือผ้ายันต์อะไรก็ตาม ถ้าจะอาศัยอำนาจของเราอย่างเดียวไม่ช้าก็เสื่อม เราน่ะมันดีแคไหน การทำตัวเป็นคนเก่งน่ะมันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่ง พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง พระพรหมท่านเก่ง ท่านมาช่วยทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จดีกว่าเราทำตั้งพันปีเราต้องการให้ท่านช่วยอะไรก็บอกไป ของที่ทำจะคุ้มครองผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองได้ทุกคนถ้าหากพระก็ดี พระพรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครองให้ ท่านก็มองเห็นถนัด คุ้มครองได้ถนัดและจำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้านำของนั้นไปใช้ในทางทุจริตคิดมิชอบก็ไม่มีอะไรจะคุ้มครองได้ ที่เป็นคนเลวอยู่แล้วก็ช่วยพยุงให้เลวน้อยหน่อย ต้องช่วยตัวเองด้วยไม่ใช่จะคอยพึ่งผ้ายันต์หรือพระ ถ้าดีอยู่แล้วก็ช่วยให้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นกฎของอำนาจพระพุทธบารมี พระธรรมบารมี พระสังฆบารมี ตลอดจนพระพรหมและเทวดาทั้งหลาย...


ผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
เมื่อกลางปี 2515 คณะกรรมการวัดละหารไร่ มีนายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกร ประชุมกันเรื่องการสร้างพระเครื่องวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสมนาคุณแด่ชาวบ้านและสาธุชนทั่วไป ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินร่วมทำบุญกับวัดละหารไร่ ต่อไปในวันข้างหน้าโดยเฉพาะงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ วัดละหารไร่ ในการนี้หลวงปู่ทิมได้กล่าวว่า หากได้ผงพรายกุมารมหาภูติผสมใส่ลงไปด้วย พระเครื่องที่สร้างขึ้นนี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเพราะมีอานุภาพแห่งพรายกุมารมหาภูติแฝงอยู่คอยช่วยเหลือเอื้ออำนวยพร เมื่อหลวงปู่ทิมมีความต้องการจะทำผงพรายกุมารมหาภูติ เพื่อนำมาเป็นมวลสารที่สำคัญยิ่งในการสร้างปลุกเสกพระเครื่องครั้งนี้นั้น ในบรรดาลูกศิษย์ยุคแรกของหลวงปู่ทิมอิสริโกทั้งหมดไม่มีใครกล้าเสนอตัวอาสากระทำการ เพราะต่างคนต่างก็เกรงกลัวความอาถรรพ์ของผีตายทั้งกลม ซึ่งโบราณกล่าวไว้ว่ามีความดุร้ายและหวงลูกมาก ถึงขั้นตามเอาชีวิตกันเลยทีเดียว มีแต่เพียง หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ
ผู้เดียวที่มีวิชาคาถาอาคมและสมาธิกล้าแข็งเพียงพอ กล้าขอเสนอตัวรับอาสาสนองพระคุณหลวงปู่ทิม จะไปนำ กะโหลกพรายกุมาร วัตถุอาถรรพ์สำคัญยิ่ง จากหญิงตายทั้งกลม (หญิงชาวบ้านท้องแก่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสยดสยอง ทางญาติได้นำศพมาฝังไว้ที่ป่าช้าวัดละหารใหญ่ ปัจจุบันเป็นบริเวณที่ชาวบ้านทำไร่สับปะรด ) มาเพื่อให้ท่านสร้างปลุกเสกเป็น ผงพรายกุมารมหาภูติ ซึ่งหมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ต้องพบกับอิทธิฤทธิ์ของอาจารย์พรายนายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร แต่ด้วยมูลเหตุแห่งวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างบุญกุศลในพระพุทธศาสนา บารมีของหลวงปู่ทิม และคาถาอาคมที่หลวงปู่ทิมได้ประสิทธิให้นั้น ทำให้นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร ได้ยินยอมและเต็มใจ เกิดความปิติในกุศลผลบุญที่ตนเองจะได้รับ หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ จึงกระทำการครั้งนี้ได้สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ วิญญาณของาจารย์นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร มีอยู่จริงเห็นตัวตนเป็นเงาใสๆ ลางๆ เหมือนกับภาพที่สะท้อนบนพื้น ในปัจจุบันวิญญาณเหล่านี้ก็ยังอยู่คุ้มครองที่วัดละหารไร่
หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ กล่าวย้ำ การสร้างผงพรายกุมารมหาภูตินั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อได้กระโหลกพรายกุมารมาแล้ว หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ใส่ห่อผ้าเก็บไว้หลังพระประธานในพระอุโบสถหลังเก่า เป็นระยะเวลาประมาณสามถึงสี่เดือน จนกระโหลกพรายกุมารแห้งสนิทหมดกลิ่นดีแล้ว จึงนำมาโขลกตำให้ละเอียดแล้วผสมกับผงวิเศษสำคัญต่างๆ ที่หลวงปู่ทิมมอบให้มาจนครบทั้งหมดผสมน้ำแช่เกสรบัวทั้งห้า ปั้นเป็นแท่งขนาดใหญ่ แล้วตากแดดไว้จนแห้งสนิท เมื่อได้ฤกษ์งาม ยามดีวันดี ตามที่หลวงปู่ทิมได้กำหนดไว้ จึงจะนำแท่งผงปั้นนี้มาเขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ บนกระดานชนวน กระทำในพระอุโบสถหลังเก่า ท่ามกลางการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ ๙ รูป โดยหลวงปู่ทิมอิสริโก เป็นประธานสงฆ์ เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ ลงบนกระดานชนวนแล้วลบผงก่อนเป็นปฐมฤกษ์ แล้วจึงมอบให้หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ เป็นผู้ลงอักขระพระยันต์และลบผงต่อไป การปลุกเสกผงพรายกุมารมหาภูตินี้ หลวงปู่ทิมท่านได้ปลุกเสกพรายกุมารทั้งหลายให้เป็นกึ่งเทพกึ่งภูติเป็นมหาภูติขวาและซ้าย(พระพรายคู่ เป็นรูปเทวดานั่งคู่กัน แทนรูปมหาภูติซ้าย-ขวา) วิญญาณพรายกุมารไม่ใช่มีอยู่ตนเดียว แต่มีมากมายประมาณมิได้ หลวงปู่ทิมได้อธิฐานให้วิญญาณพรายกุมารทุกตนที่ผ่านไปมาในบริเวณพิธี หากจะช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ให้มาสถิตย์อยู่รวมกันในผงพรายกุมารมหาภูติที่ท่านปลุกเสกนี้ ให้มีอิทธิฤทธิ์คอยช่วยเหลือคุ้มครองอำนวยพรให้ผู้ศรัทธาบูชาอยู่ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากเสร็จพิธีเรียบร้อยแล้วได้ผงพรายกุมารมหาภูติบริสุทธิ์สีขาวหม่นอมเทาประมาณ 1 ถาดใหญ่ เมื่อแบ่งผสมผงว่านมหามงคลจะได้ผงพรายกุมารมหาภูติเนื้อละเอียดสีน้ำตาลเข้มประมาณ 1 กะละมังใหญ่ แล้วเก็บรวบรวมไว้ในกุฎิหลวงปู่ทิม เมื่อจะทำพระเครื่องจึงจะขออนุญาตหลวงปู่ทิมไปตักแบ่งเอามาผสมผงที่จะกดพิมพ์พระอีกครั้งหนึ่ง.หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ กล่าวยืนยันโดยเห็นกับตาตนเองว่า ผงที่หลวงปู่ทิมอิสริโก เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ นั้น หลุดร่วงทะลุลอดกระดานชนวนลงมา และทะลุผ้าขาวที่ปูรองเอาไว้ถึงเจ็ดชั้นจนถึงพื้นพระอุโบสถวัดละหารไร่ ที่กล่าวนี้ไม่ได้กล่าวเกินความจริงแต่อย่าง แต่กล่าวเปิดเผยเพื่อให้ท่านทั้งหลายที่ศรัทธาหลวงปู่ทิมอิสริโก จะได้เกิดความปิติ และซาบซึ้ง ในบุญญาบารมีของหลวงปู่ทิมอิสริโก หากผู้ใดได้ครอบครองบูชา พระผงขุนแผนพรายกุมาร นับว่าท่านมีของวิเศษขั้นสูงอยู่กับ จะส่งผลให้เกิดโภคทรัพย์ ความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง นับว่าเป็นบุญกุศลของผู้นั้นที่เคยได้ร่วมสร้างกันมา หลวงปู่ท่านกล่าวว่าพระของท่านมีเจ้าของอยู่แล้ว ของของใครต้องมาอยู่กับผู้นั้น ผู้ใดมิใช่เจ้าของจักมีอันต้องเปลี่ยนมือไปไม่ช้าก็เร็ว


ประวัติการสร้างพระเครื่องของพระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ)
เกี่ยวกับประวัติในการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่โต๊ะนั้น พระเครื่องชุดแรกสุดของท่าน จะมีทั้งหมด 13 พิมพ์ด้วยกัน เช่น พระสมเด็จสามชั้น พิมพ์ขาโต๊ะ, พระสมเด็จพิมพ์เจ็ดชั้น และ พระสมเด็จสามชั้นพิมพ์หูบายศรี เป็นต้น
พระเครื่องทั้ง 13 พิมพ์นี้ หลวงปู่โต๊ะได้ลงมือสร้างด้วยความตั้งใจ และปรารถนาจะให้ขลังเป็นพิเศษ โดยพยายามเสาะหาวัตถุดันเป็นมงคลและอาถรรพ์เวทย์ต่าง ๆ ที่มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์มาทำ และกดพิมพ์ด้วยมือของท่านเองเป็นส่วนใหญ่ เพราะหลวงปู่ได้ผู้ช่วยทำงานซึ่งเป็นอาสาสมัคร อันประกอบด้วยพระเณร และฆราวาสมาจากวัดพลับ บางกอกใหญ่ คอยแนะนำส่วนผสมและวิธีการสร้างพระเครื่องต่าง ๆ
ผงพุทธคุณที่หลวงปู่ได้เสาะหามาผสมในการสร้างพระเครื่องชุดแรกนี้ มีผงวิเศษที่จัดเป็นแม่เชื้อของผงทั้งหมดโดยในยุคที่หลวงปู่ออกธุดงค์บ่อย ๆ นั้น หลวงปู่ได้เคยไปธุดงค์ด้วยกันกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และหลวงพ่ออีกองค์หนึ่งซึ่งจำชื่อและความเป็นมาไม่ชัดเจน
เมื่อท่านได้กลับมาที่วัดประดู่ฉิมพลีแล้ว ท่านทั้งสามก็ได้ทบทวนวิชาที่ได้เล่าเรียนกันมา ก็ได้ผลลัพธ์ออกมาคล้ายกัน ต่างจึงตกลงที่จะเขียนสูตรผงนั้น โดยใช้ดินสอพองมาละลายน้ำมนต์แล้วปั้นเป็นแท่งเหมือนกับชอล์ก แล้วเอาใบตำลึงมาตำ คั้นน้ำมาทาแท่งดินสอพองเวลาจับจะได้ไม่ติดมือ จากนั้นก็จะลงมือเขียนตามอักขระเลขยันต์ จากปถมัง ตรีสิงเห อิทธิเจ และมหาราช ว่าไปจนครบสูตร จะเว้นไม่ได้ หากขาดไปวันหนึ่งก็ต้องเอาผงที่เขียนไว้แล้วมารวมกัน แล้วเขียนขึ้นมาใหม่ทำทุกวันต่อเนื่องกันไปจนครบสูตร
เมื่อเขียนเสร็จได้เท่าไร ต่างองค์ต่างก็จะแบ่งขึ้นมาเป็นสามกอง โดยต่างองค์ก็จะมอบให้แก่กันองค์ละกอง แล้วจึงเอาผงทั้งหมดมาผสมรวมกัน ผงที่สร้างขึ้นมานี้ ก็จะเป็นสีขาวเรื่อ ๆ เล็กน้อย นวลละเอียด มีพุทธคุณทางเมตตา และทางด้านอื่น ๆ อีกสูงมาก ผงวิเศษที่สร้างขึ้นมานี้ก็คือ ผงวิเศษหรือที่ลูกศิษย์ของท่านได้เรียกกันว่าเป็นผง อิทธิเจ
ส่วนผสมผงทั้งหมดที่ได้มานั้น มีของวัดพลับมากที่สุดซึ่งเป็นพระวัดพลับที่ชำรุด และแตกหักจากคราวกรุแตก นอกจากนี้ ยังได้มวลสารสำคัญคือผงจากพระสมเด็จ วัดระฆังฯ ธนบุรีจำนวนเล็กน้อย ซึ่งเป็นของฆราวาสบ้านอยู่ใกล้กับวัดระฆังฯ



วิธีการแช่พระเครื่องในตุ่มน้ำมนต์ของหลวงปู่โต๊ะ
ด้วยความประสงค์ที่จะให้พระเครื่องของท่านมีความขลัง และดูน่าบูชา ท่านจะเอาพระเครื่องเหล่านี้ไปแช่น้ำมนต์ในตุ่มมังกร ซึ่งตั้งอยู่ในโบสถ์ และปลุกเสกตลอดพรรษา
วิธีการแช่พระเครื่องในตุ่มน้ำมนต์ของหลวงปู่โต๊ะนั้น ลูกศิษย์หลวงปู่ท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า ตุ่มมังกรที่ใช้ใส่น้ำมนต์นั้น มีอยู่ด้วยกันหลายใบมีขนาดแตกต่างกัน เล็กบ้างใหญ่บ้าง บางตุ่มก็จะมีดิน มีทรายปะปนอยู่ด้วย และในระหว่างนั้น ถ้าหากว่ามีใครเอาพวงมาลัยดอกไม้สดมาถวายแด่หลวงปู ท่านก็จะเอาพวงมาลัยนั้น ใส่ลงไปในตุ่มมังกรน้ำมนต์นั้นด้วย เป็นการหมักเอาดอกไม้สดปนอยู่ในน้ำมนต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สีสันขององค์พระแตกต่างกันออกไป
หลวงปู่จะตั้งจิตอธิษฐาน ปลุกเสกภาวนา พระเครื่องที่แช่น้ำมนต์ในตุ่มมังกร ไปเรื่อย ๆ ตลอดพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่ก็จะเอาพระเครื่องที่แช่ในน้ำมนต์จนได้ที่แล้วนั้น ออกมาแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหา และผู้ที่ไปหาท่านในตอนนั้น ถ้าหากพระเครื่องแช่ไว้นานกว่านั้น พระจะติดกันเป็นก้อน
คราบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนองค์พระจึงไม่เหมือนกัน บางตุ่มที่ใส่น้ำมนต์ใหม่ ๆ น้ำยังใสอยู่ องค์พระที่แช่ไว้ คราบจะออกขาวเล็กน้อย ถ้าหากเป็นตุ่มเก่า ที่แช่น้ำมนต์มาก่อนนานเป็นพรรษา คราบน้ำมนต์ก็จะตกตะกอนมีคราบจับเกาะเป็นปื้น มีสีน้ำตาลหรือสีสนิมชัดขึ้น เรื่องของคราบน้ำมนต์ที่เกาะบนองค์พระ จึงมีความแตกต่างกันไป
ในการกดพิมพ์สร้างพระเครื่องของหลวงปู่โต๊ะนั้น ท่านจะกดพิมพ์ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีเวลาว่าง หลวงปู่จะทำด้วยความเพลิดเพลิน สบายใจ และทำด้วยใจรักยิ่ง หลวงปู่จะกดพิมพ์พระสลับกันไปทั้ง 13 พิมพ์ โดยไม่ได้เจาะจงว่า จะทำพิมพ์นั้นจำนวนเท่านี้ พิมพ์นี้จำนวนเท่านั้น และพระทั้งหมด 13 พิมพ์ ทำไว้จำนวนเท่าไร หลวงปู่ก็ไม่ได้กำหนดไว้เป็นหลักฐาน ท่านเพียงแต่บอกว่า ได้ลงมือสร้างพระมาตั้งแต่ตอนที่ท่านอายุได้ 30 ปีเศษ ๆ

หลวงปู่ยังบอกด้วยว่า มีพระเณร และฆราวาสจากวัดพลับมาช่วยเห็นกำลังสำคัญในการสร้างพระเครื่องรุ่นแรกนี้ ตั้งแต่เริ่มต้น รวมทั้งการแกะบล็อกแม่พิมพ์พระเครื่องชุดแรกนี้ด้วย
มีลูกศิษย์เคยถามหลวงปู่ว่าบล็อกแม่พิมพ์พระ 13 พิมพ์นี้ ใครเป็นผู้แกะแบบพิมพ์ หลวงปู่บอกว่า ตัวท่านเองก็จำไม่ได้แน่นอน เพราะเป็นเวลาผ่านมานานแล้ว ท่านจำได้แต่เพียงว่า บล็อกแม่พิมพ์ของพระสมเด็จ พิมพ์ขาโต๊ะนั้น ท่านได้มาจากฆราวาสผู้หนึ่ง ซึ่งฆราวาสผู้นี้ได้ไปพบบล็อกแม่พิมพ์อันนี้เข้าโดยบังเอิญ ที่บนขื่อหรือบนเพดานของหลวงพ่อโบสถ์น้อย วัดอัมรินทราราม บางกอกน้อย ธนบุรี
หลังจากที่หลวงปู่โต๊ะ ได้ใช้บล็อกแม่พิมพ์อันนี้ กดพิมพ์พระสมเด็จขาโต๊ะได้จำนวนหนึ่ง ไม่นานนัก (ไม่กี่ร้อยองค์) หลวงพ่อโชติ วัดตะโน ได้มาขอยืมบล็อกแม่พิมพ์นี้ไปจากหลวงปู่โต๊ะ ต่อมาบล็อกแม่พิมพ์อันนี้ก็ได้หายไป นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายออย่างยิ่ง
หลวงปู่จะทำพระเครื่องชุดแรกนี้ ร่วมกับอาสาสมัครจากวัดพลับ จนหลวงปู่มีความชำนาญ และเข้าใจวิธีการสร้างพระทุกอย่างทุกขั้นตอนได้ดีแล้ว หลังจากนั้นหลวงปู่จะกดพิมพ์พระด้วยมือของท่านเองมาโดยตลอด และได้พิมพ์สร้างพระเครื่องชุดแรกนี้มาเรื่อย ๆ ทั้ง 13 พิมพ์ สลับกันไป สร้างไปแจกไป ไม่หวงแหนเลย ใครมาหาท่านในช่วงนั้น ท่านก็จะแจกพระเครื่องให้เสมอ
จวบจนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. 2490 กว่า ในวันหนึ่ง หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปฉันเพลที่ตลาดพลู ไปพบกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หลวงพ่อสด ได้ถามหลวงปู่โต๊ะว่า ผงพุทธคุณที่ได้สร้างกันขึ้นมานั้น ได้เอาไปทำอะไรบ้าง หลวงปู่ตอบว่า ได้เอาไปสร้างพระเครื่องแล้ว และก็ได้แจกจ่ายพระเครื่องนั้นให้กับลูกศิษย์ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อสด จึงได้บอกกับหลวงปู่โต๊ะว่า อย่านำผงไปสร้างพระแจกหมดเสียก่อน ให้รอท่านด้วย ท่านจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม จะได้ขอผงมาสร้างพระแจกบ้าง หลังจากนั้นมา หลวงปู่โต๊ะ จึงได้เพลามือในการแจกพระเครื่องรุ่นแรก 13 พิมพ์ของท่าน พร้อมกับแบ่ง ผงพุทธคุณ จำนวนหนึ่ง ให้กับหลวงพ่อสด เพื่อเอาไปสร้างพระผงของขวัญ จนเป็นที่โด่งดังในเวลาต่อมา
ในตอนนั้น ถ้าหากหลวงปู่โต๊ะไม่ได้รับการบอกกล่าวจากหลวงพ่อสด หลวงปู่ก็คงจะแจกพระเครื่องของท่านไปจนหมด ไม่เหลือมาให้ได้แจกกับศิษย์รุ่นหลัง ๆ ยังมีโอกาสได้รับพระจากมือของหลงวงปู่โดยตรงอีกจำนวนมากมายหลายท่านด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม พระเครื่องรุ่นแรกนี้ หลวงปู่ก็ได้แจกไปจนหมดสิ้นแล้วมิได้เหลือให้แจกกันอีก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา
นอกจากพระเครื่องชุดแรก 13 พิมพ์นี้แล้ว หลวงปู่ยังได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำ พระกลีบบัวเนื้อเมฆพัด, พระสมเด็จพิมพ์ห้าชั้น, พระสมเด็จพิมพ์คะแนน และพระสมเด็จเนื้อผงผสมชานหมากก่อนปี 2500 อีกด้วย
หลังจากปี 2500 ไปแล้ว หากมีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ ทั้งของวัดหรือนอกวัดก็ตาม ลูกศิษย์และฆราวาสที่มีความเคารพนับถือ และศรัทธาในตัวหลวงปู่ จะเป็นผู้ขออนุญาตจากหลวงปู่ แล้วจัดทำและสร้างมาถวายให้ทั้งนั้น แต่หลวงปู่ท่านก็ตั้งใจปลุกเสกให้อย่างเต็มที่ ดังเราจะเห็นได้จากความนิยมของวงการพระเครื่อง ที่ได้ให้ความสนใจในพระปิดตาจัมโบ้, พระปิดตารุ่นปลดหนี้, พระปิดตาจัมโบ้รุ่นสอง และพิมพ์อื่นๆ อีกหลายพิมพ์ด้วยกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเครื่องรุ่นหลัง ๆ นี้พระปิดตาเกือบทุกพิมพ์ต่างก็ได้รับความนิยมอย่างสูง ทั้งราคาเช่าหาก็จัดว่าไม่แพงจนเกินไป แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า พระปิดตาทุก ๆ พิมพ์นั้น ทางวัดได้จำหน่ายไปหมดสิ้นแล้ว จะเหลือก็แต่จำนวนเพียงเล็กน้อยที่ท่านพระครูวิโรจน์กิตติคุณ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ท่านได้เก็บรักษาเอาไว้เพื่อตอบแทนสมนาคุณ แก่ผู้ที่มาร่วมเป็นกรรมการบำเพ็ญกุศล เป็นเจ้าภาพคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่โต๊ะ วันที่ 5 มีนาคมของทุกปีเท่านั้น


ผงวัด สัมฤทธิ์ คือ ผงอิธิเจ ที่คาดว่าน่าจะมีอายุอยู่ประมาณ ๔๐๐ ปีขึนไป เพราะวัดสัมฤทธิ์นี้เป็นวัดร้างที่สร้างขึ้นในยุคอยุธยาตอนกลาง น่าจะราวๆสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(พบใบลานจารอักขรบอกไว้ว่าเป็นผงอิธิ เจ) ปาฏิหารของผงนี้ มีมากมาย เป็นที่ประจักแก่ผู้คนทั้งลพบุรี และอ่างทอง ตลอดจนผู้คนในบริเวณใกล้เคียงทั้งย่านแม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำเจ้าพระยา รู้จักกันดีในวงการพระสงฆ์ว่า วัดทุกวัดในเขตภาคกลางนี้เมื่อมีวาระจะต้องสร้างพระเครื่อง จะต้องมาขอแบ่งผงนี้ไปเป็นมงคลวัตถุผสมอยู่ด้วยทุกครั้ง แม้แต่อาจารย์พิจารย์ แห่งวัดโพธิ์ผักไห่ ยอดเกจิด้านผงพุทธคุณในยุคปัจจุบันยังตามหาผงฯนี้ไปสร้างพระเครื่องของท่าน ยืนยันได้ครับ จนปัจจุบันนี้หาผงฯนี้เกือบจะหาอีกไม่ได้อีกแล้ว คงเหลืออยู่เล็กๆ น้อยๆ กับคนที่รู้จริงและบรรจุใส่ตลับบ้าง ใส่หลอดบ้างเอาไว้บูชากัน แต่ก็หวงแหนกันยิ่งชีวิตครับ !!!!!
อันผงวัด สัมฤทธิ์ หรือที่หลายคนเรียกว่าผงหลวงพ่อสัมฤทธิ์นี้ มีพุทธคุณศักดิ์สิทธ์ยิ่งนัก มีประสบการณ์ต่างๆมากมาย ตั้งแต่การใช้แก้คุณไสย ถูกของถูกกระทำ มีตัวอย่างสำคัญๆที่ต้องเล่าเป็นการเฉพาะเท่านั้น มีพุทธคุณด้านปกป้กษ์คุ้มครองมากมายทั้งรถยนต์การเดินทาง และแม้แต่ในสนามรบทหารหาญเมืองลพบุรีที่ได้ไปต่างทราบกันดี
และพุทธคุณ ที่หลายคนปรารถนาคือ สามารถอธิษฐานขอในสิ่งที่ต้องการได้ ...!!! แม้แต่ในวัดสัมฤทธิ์เวลานี้ มีการเจาะบ่อบาดานใกล้ๆกับแหล่งที่พบผงอิธิเจนี้ น้ำที่โยกขึ้นมากก็กลายเป็นน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิมาก เป็นที่เคารพบูชาของคนแถวนั้นตราบเท่าทุกวันนี้
ประสบการณ์ผงหลวงพ่อ สัมฤทธิ์แก้ดวงตก แก้กรรมได้ เคยมีคนชะตาตกแบบที่เรียกว่าคอขาด หรือถึงฆาต พระอาจารย์ใช้ผงฯ นี้ทำน้ำมนต์ให้อาบ และดื่มกินทุกวัน จนวันจะกลับบ้านท่านก็ให้พระสมเด็จวัดยวดแขวนคอไปด้วย แต่ด้วยความที่ดวงไม่ดีก็ไปเจอเรื่องเข้าอีกจนได้ คราวนี้เจอคู่อริรุมซ้อมแต่ก็หนีเอาตัวรอดกลับมาได้ ปรากฎว่าร่างกายไม่บอบชำบาดเจ็บมากนัก แต่พระสมเด็จวัดยวดที่ห้อยคอไปถึงกับหักเป็นสองท่อนทั้งที่อยู่ในเลี่ยมตลับ สเตนเลสอย่างดี ? หรือว่าพระท่านจะมารับกรรมแทนตน !!?? จนเจ้าตัวอยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้
ประสบการณ์ผงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ เกี่ยวการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ผงหลวงพ่อสัมฤทธิ์นี้ผู้บูชาต้องระลึกถึงบารมีของหลวงพ่อสัมฤทธิ์ และผู้สร้างผงฯนี้เก็บไว้ เพื่ออธิษฐานของสิ่งที่ตนต้องการ เคยมีนายทหารกลุ่มหนึ่งบูชาและอธิษฐานขอให้ได้เลื่อนตำแหน่ง ก็ได้อย่างไม่น่าเชื่อ นับแต่นั้นมาจึงเกิดการไล่ตามเก็บเช่าบูชากันมาก ทำให้พระวัดยวดที่เคยแจกจ่ายออกมาจากวัดหายไปจนไม่ค่อยมีใครพบเห็นอีกเลย ดังนั้นข้าราชการท่านใดที่ต้องการให้สมประสงค์เรื่องขั้นเรื่องตำแหน่งก็ควร จะมีไว้บูชา ท่านใดที่มีแล้วอย่าลืมท่านต้องระลึกถึงผู้สร้างและหลวงพ่อสัมฤทธิ์เพื่อ อธิษฐานขอแล้วท่านจะประสบผลตามสมประสงค์ทุกประการ
ผงวัดสัมฤทธ์นี้ มีพระเกจิอาจารย์หลายท่าน นำไปสร้างเป็นพระเครื่อง และอธิษฐานขอให้การสร้างวัดสำเร็จ ก็สามารถสร้างวัดได้สำเร็จมาแล้วหลายวัดด้วยกัน รวมทั้งมีพระอาจารย์บางท่านได้ทำการก่อสร้างจนเป็นหนีเป็นสินมากมายมหาศาล แต่ก็สามารถอธิษฐานขอ จนหมดหนี้หมดสินและสร้างวัดได้สำเร็จสมความปรารถนาทุกประการ

" การค้นพบผงสัมฤทธิ์ในอดีตตลอด ๕๐ ปีที่ผ่านมา พบว่าวัตถุมงคลที่เข้าผงวัดสัมฤทธิ์หรือมีผงวัดสัมฤทธิ์เข้าไปเป็นส่วน ประกอบ เช่น พระเครื่องชุดแพพัน แพ๒พัน พระชุดของหลวงปู่โต๊ะ วัดสระเกศ พระชุดของวัดเยื้องคงคาราม พระผงสมเด็จวัดคำหยาด โดยพระอาจารย์บุญลือ โดยเฉพาะพระเครื่องชุดที่สร้างโดยวัดยวด ( วัดเจ้าคณะอำเภอท่าวุ้ง ในจังหวัดลพบุรี ) ล้วนเข้าผงวัดสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น ล้วนมีประสบการณ์ ในทางค้ำชูดวงชะตา เป็นมหาสำเร็จสมปรารถนา ขอเพียงผู้ใช้ตั้งสัจจะอธิฐาน โดยไม่เกินวาสนาของตน มีความเชื่อถือกันมาในหมู่คณาจารย์ ผู้รู้ทั้งหลายว่าผู้สร้างผงพุทธคุณวัดสัมฤทธิ์ ทรงอภิญญาสูงส่ง ดำรงจิตอยู่ในพรหมวิหาร ๔ วางจิตนิ่งอยู่ในอุเบกขาเป็นนิจ เห็นเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลกย่อมเป็นไปโดยกรรมของตน เมื่อผู้ใดตั้งสัจจะอธิฐาน ผู้ทรงอภิญญานั้นจะคลายจิตลงสู่เมตตา กรุณา เป็นอารมณ์ จึงมีผู้คนจำนวนมากที่ใช้พระที่เข้าผงสัมฤทธิ์พบปาฏิหารณ์ ในทางโชคลาภ ในทางมหาเสน่ห์ ในทางมหานิยม ในทางขอตำแหน่งหน้าที่การงาน ในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บ รวมไปถึงถอนคุณไสยต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์ "

ที่มา อาจารย์พิจารย์ วัดโพธิ์ผักไห่ ร่วมบูชาสมเด็จสมปราถนา(สัมฤทธิ์) ช่วยวัดโพธิผักไห่กับทางสำนักฯ อัพเดท!!!!


ตำนาน "แร่บางไผ่" นนทบุรี
เป็นความเชื่อมายาวนานแล้วครับว่า แร่บางไผ่เป็นแร่ที่มีลักษณะเหมือนกับมีชีวิต กล่าวคือแร่บางไผ่สามารถกินอาหาร น้ำคาวปลา เศษเนื้อ ฯลฯ สามารถเลี้ยงไว้ได้และก็สามารถตายได้เช่นเดียวกัน

ว่ากันว่าถ้าเรานำแร่บางไผ่มาแช่น้ำไว้ จะทำให้แร่บางไผ่อยู่ในสภาพที่มีเนื้อแร่เหล็กอยู่ แต่ถ้านำแร่บางไผ่ขึ้นมาไว้บนบกและตากแดดไว้นานๆ แร่บางไผ่ก็จะตาย..

ลักษณะการตายของแร่บางไผ่คือเนื้อแร่เหล็กจะหายไปและกลายสภาพเป็นเหมือนก้อนอิฐก้อนหินธรรมดา

ดังนั้นการที่จะเลี้ยงก้อนแร่บางไผ่ให้มีแร่เหล็กอยู่ได้นั้นจึงจำเป็นที่จะต้องแช่น้ำไว้และเลี้ยงไว้ด้วยน้ำคาวปลา เศษเนื้อ เศษหมู แร่บางไผ่นั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ได้.......

ที่สำคัญยิ่งคือแร่บางไผ่นี้มีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย คือในคลองบางคูลัด จังหวัดนนทบุรี

มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า หลวงปู่จันท่านเป็นชาวเขมรโดยกำเนิด เมื่อท่านได้ออกบวชและธุดงค์จาริกแสวงบุญจากเขมรมายังเมืองไทย

สมัยที่หลวงปู่จันมาใหม่ๆนั้นได้มีเสียงร่ำลือจากชาวบ้านละแวกนั้นว่า มีพระเขมรสององค์ องค์หนึ่งเก่งทางด้านรักษาโรคอีกองค์หนึ่งเก่งทางด้าน เวทมนต์คาถาชื่อเสียงของพระทั้งสององค์นี้โด่งดังไปทั่วอำเภอบางบัวทอง

ในยุคสมัยนั้นการคมนาคมทางรถยนต์ยังไม่สะดวก ต้องใช้เรือเป็นพาหนะในการสัญจรไปมา การรักษาโรคภัยไข้เจ็บและการบรรเทาทุกข์ทางใจในเรื่องต่างๆของชาวบ้านจึงต้องอาศัยพระในการช่วยเหลือ



ต่อมาเมื่อวัดโมลีได้ขาดเจ้าอาวาส ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันนิมนต์พระเขมรองค์ที่มีความเก่งทางด้านวิชาอาคมคือ พระภิกษุจันขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่สาม ของวัดโมลีตำบลบางรักใหญ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี

พระสมเด็จแท้ / Genuine Phra Somdej

จำแนกตามพิมพ์และเนื้อหา กราบ พระรัตนตรัย.........บิดามารดาบรรพบุรุษ......ครุฐาอาจารย์ พิมพ์ชาวบ้านและผู้ศรัทธา พิมพ์ช่างหลวง-ยุคปลาย...