วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เก็บตก... กับพระขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม ระยอง

26-May-2017
ควบม้า...ชมเมือง***วันนี้ เผอิญได้ไปอ่าน บทความเกี่ยวกับ....พระขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม ระยอง ที่เขียนโดย หนุ่มเมืองแกลง เมื่อพิจารณาดูแล้ว...ผู้เรียบเรียงเห็นว่าเป็นบทความที่ดีมีประโยชน์ ในการพิจารณาพระเครื่องขุนแผนหลวงปู่ทิม จ.ระยอง...อีกด้านหนึ่งที่พึงพิจารณา..จึงได้นำบทความมารีวิว..เพื่อการศึกษาพระเครื่อง พระขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม ระยอง..อีกหนึ่งแง่มุม ..อีกทั้งท่านหนุ่มเมืองแกลงยังได้อุตส่าห์อธิบายเชิงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปฎิกิริยาของพระที่มีส่วนผสมของเนื้อปูน และอีกหลายแง่มุมครับ
ดูคอลัมน์ * ควบม้า..ชมเมือง *


1.            ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการคืนพระขุนแผนผงพรายกุมารกันไม่น้อยกว่า20 ราย หลายองค์เป็นพระที่ราคาหลักล้านบาทขึ้นไป เพราะคนที่เอาไปแล้วก็มีวิธีการตรวจสอบทั้งทางเทคโนโลยี่และจากข้อมูลด้านอื่นๆที่ยังพอสืบค้นได้เอง เมื่อเขาสอบถามผู้ที่อ้างว่าสันทัดพระขุนแผนพรายกุมารหรือเป็นศิษย์เอกหลวงปู่ทิม ก็ไม่สามารถให้เหตุผลที่ถูกต้องได้ชัดเจนดีพอ พระขุนแผนพรายกุมารปี17 ที่เคยจำหน่ายไปองค์ละ3 – 4 ล้านบาท จึงมีจำนวนหลายองค์ที่ถูกคืนกลับผู้ให้เช่า หากใครเล่นเฟสบุคในโซเชี่ยลบ่อยๆ คงมีคนจำกรณีนักธุรกิจหนุ่มหล่อโปรไฟล์เยี่ยมที่ชื่อ ข......ที่ขอคืนพระขุนแผนองค์ละกว่า3ล้านบาทได้ดี และขอคืนมากกว่า1 องค์ ถัดต่อมาก็เป็นรายการคืนพระองค์ดารา ที่องค์ละ3ล้านบาทถ้วนของนักสะสมรายอื่น ส่วนองค์ละหลักหลายแสนบาทมีอีกหลายราย เพราะเดี๋ยวนี้ข้อมูลต่างๆไปเร็วและไปไกล หากใครที่สนใจติดตามเรื่องราวตลอดมาก็น่าจะรู้ได้ แต่ที่ยังเงียบในหน้าหนังสือพิมพ์เพราะอะไรคงน่าจะรู้กันดี การสมประโยชน์ของกลุ่มร้านค้าต่างๆ (ซึ่งแทบทั้งสิ้นจะเป็นของเซียนพระ) มักเป็นหัวข้อหลักในการพูดคุยเสมอ

2.            พระขุนแผนและพระผงแบบต่างๆของหลวงปู่ทิม ระยอง มีทำไว้ใช้กันในหมู่คนที่เคารพนับถือท่านมาก่อนหน้านานแล้ว มีสร้างไว้นับตั้งแต่ต้นปี2509เป็นต้นมา โดยทำกันในวัดเรื่อยมาหลังจากสร้างเหรียญรุ่นแรกปี2508 ไม่ได้ขาดช่วงหรือเว้นนานนับเกือบสิบปีแต่อย่างใด แม้แต่ก่อนการสร้างเหรียญรุ่นแรกก็ได้มีการทำเครื่องรางรูปแบบต่างๆไปมากแล้ว และมีสร้างไว้หลายยุคสมัยและหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดที่เป็นพระเนื้อผงจะเป็นการกดพิมพ์ด้วยแรงกดจากมือคนทั้งสิ้น เมื่อทำเสร็จแล้วมักจะแจกไปบูชากันฟรี มีบางรุ่นเท่านั้นที่นำมาใส่ตู้ของวัดเพื่อจำหน่ายให้คนไกลๆที่มากราบท่านได้บูชากลับบ้าน แต่คนที่ทำหนังสือเผยแพร่เกียรติคุณของท่านกลับไม่ได้สนใจค้นคว้าและทำต้นทางให้ถูกต้องแต่แรก เมื่อมีการคัดลอกในทอดต่อๆมา ก็เลยกลายเป็นแม่ปูและลูกปูที่เดินไม่ตรงทางตามกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วหลวงปู่ทิมเป็นที่เคารพนับถือของทหารเรือสัตหีบมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 มาแล้ว ตั้งแต่สมัยยุคทหารจีไอครองอู่ตะเภา พอเข้าปี 2510-11 ทหารช่างของกรมโรงงานฐานทัพเรือสัตหีบก็เข้ามาช่วยงานต่างๆของวัดบ้างแล้ว ยิ่งช่วงที่วัดละหารไร่ต้องการหาทุนมาสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ก็มีหลายๆฝ่ายเข้าไปช่วยงานวัดมากขึ้นทั้งจากระยอง สัตหีบและชลบุรี โดยตั้งแต่ปี2511 เป็นต้นมา การเดินทางไปวัดละหารไร่ก็ไม่ได้กันดารยากลำบากอะไรมากนัก มีถนนลาดยาง มีรถเมลล์ บขส.วิ่งแล้ว ยังได้พูดคุยกับคนบ้านค่ายที่เคยนั่งรถเมลล์สายบ้านค่าย-ระยอง เพื่อเข้าไปเรียนอัสสัมชัญระยอง แบบไปกลับทุกวันนับตั้งแต่ปี2512 เป็นต้นมา ไม่ได้เป็นป่าทึบรกร้างมีเสือชุม เดินทางยากลำบากเป็นวันเป็นคืนอย่างเข้าใจกัน แต่ยุงชุมนั้นคงจะใช่

3.            การแกะแม่พิมพ์พระเนื้อผงนั้น หากเป็นช่างอาชีพที่ทำงานด้านนี้ ต้องมีความรู้ความสามารถจากจิตวิญญาณหรือที่เรียกว่างานศิลปและเชิงช่าง งานที่ออกมาจะดูอ่อนช้อย เรียบร้อยสวยงามและคดโค้งพริ้วไหวตามธรรมชาติ ไม่หยาบ ไม่แข็งทื่อกระด้าง แต่ความคดโค้ง หักงอหรือลึกตื้นก็ไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกจุด และในยุค40-50ปีก่อนนั้นเมืองไทยจะยังไม่มีคอมพิวเตอร์ในการออกแบบลายเส้น เป็นการร่างแบบจากสายตาและเชิงช่างของคน พร้อมนำมาแกะเซาะเนื้อโลหะด้วยมือคนจากสายตาคน สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องแกะ CNC ดังนั้นเส้นสายรายละเอียดของจุดต่างๆจะไม่เหมือนกันเลยสักจุด แม้แต่ตัวหนังสือตัวเดียวกันที่อยู่คนละตำแหน่งก็ยังไม่เหมือนกัน100% ถึงแม้นลายเส้นด้านซ้ายอาจโค้งมากกว่าด้านขวา แต่จะงดงามเป็นงานศิลปะที่กลมกลืนลงตัว และหลุมบนพื้นผิวพระองค์จริงนั้นมักจะเกิดได้น้อยมาก เพราะในแม่พิมพ์จะเป็นจุดเป็นตุ่มนูนสูงที่ช่างแกะจะเห็นชัดและแต่งออกได้ง่ายที่สุด แต่หากเป็นเส้นนูนเช่นยันต์แตกหรือเส้นขนแมว นั่นหมายถึงร่องลึกในแม่พิมพ์ที่แกะพลาด ลบออกหรือแต่งกลับให้เสมอพื้นผิวได้ยาก

4.            ความตึงผิวและความแน่นตัวในเนื้อหาของพื้นผนังรอบๆองค์พระ และพื้นผิวด้านหลัง จะไม่แน่นตัวหรือราบเรียบเสมอกันทุกองค์ เพราะน้ำหนักการกดด้วยมือคนจะไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง และยังมีกรณีเนื้อหามวลสารที่ใส่ลงไปในแม่พิมพ์ก็ไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง และที่สำคัญหากเป็นพระผงที่ไม่ผสมกาวเป็นตัวประสานเนื้อ การแน่นตัวแบบเรียบแข็งกระด้างทั้งองค์พระจะต้องไม่มีเลย ลายเส้นส่วนนูนต่างๆด้านหน้า ที่หากเป็นพระแท้จากแม่พิมพ์ดั้งเดิมที่ไม่ใช่การถอดพิมพ์มาอีกทอดหนึ่ง จะมีรูปแบบของมิติต่างๆทั้งในส่วนเว้า นูนลึก หรือคดโค้งที่เป็นแบบชัดลึก ไม่ใช่แบบชัดตื้นหรือแข็งกระด้าง และลายเส้นยันต์ด้านหลังก็จะไม่แน่นตัวเสมอเท่ากันทุกองค์ เมื่อมองอย่างพิจารณาด้วยตา ก็คงพอจะบอกได้แล้วว่า แบบไหนมันนุ่มตาหรือแบบไหนแข็งกระด้าง
หนุ่มเมืองแกลง, 27 มีนาคม 2016
5.            พระเนื้อผงที่มีอายุกว่า 40 ปีแล้ว ต้องมีการหดตัวของมวลสารที่แตกต่างกัน ส่วนใดที่มีแรงกดแน่นตัวมากกว่าเช่นด้านหน้าหรือส่วนนูน ก็จะหดยุบตัวน้อยกว่าในส่วนที่เป็นสันขอบด้านข้าง เราจะมองเห็นชัดว่าตามขอบ ตามผิวพระจะเกิดการยุบ ย่น ยับ แยก ด้วยธรรมชาติของอินทรีย์วัตถุที่จะหดตัวหรือย่อยสลายแตกต่างกัน แต่หากเป็นพระผงที่สร้างด้วยการผสมกาว จะไม่เกิดการหดตัว จะมีเพียงการแยกตัวของพื้นผิวเมื่อถูกความร้อน เพราะเนื้อกาวจะไปเปลี่ยนโครงสร้างมวลสารของเนื้อพระไปแล้ว ผงปูนที่เป็นส่วนผสมหลักในการสร้างพระขุนแผนคือปูนขาว เป็นปูนสุกหรือปูนที่เผาแล้วจนโมเลกุลถูกเผาจนกลายเป็นแคลเซียมออกไซด์ เมื่อละลายน้ำหรือโดนน้ำจะเป็นแคลเซียมไฮดร็อกไซด์ หรือภาษาไทยเรียกน้ำปูนใส และเมื่อทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ บางส่วนจะเกิดปฏิกริยาเป็นฝ้าขาว บางส่วนจะตกตะกอนเป็นแคลเซียมไบคาร์บอเนต หรือภาษาไทยเรียกว่าตะกรัน หากเป็นพระเครื่องยุคเก่าเป็นร้อยๆปีเช่นพระสมเด็จ มักใช้ปูนดิบ(ปูนที่ยังไม่ได้เผา หรือเผาแล้วแต่ยังไม่ถึงระดับทำลายโครงสร้างโมเลกุลของปูน ยังเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตอยู่) มาบดเป็นเนื้อมวลสารหลัก ซึ่งปูนดิบจะละลายน้ำได้น้อย เมื่อเวลาผ่านไปนานๆจะตกผลึกเป็นแร่ที่เรียกว่าแคลไซท์สีขาวใส ลักษณะแบบเดียวกับผลึกหินอ่อน มีความแข็งทนทานต่อการกร่อนยุ่ยสลายตามธรรมชาติแต่ไม่ทนการกัดกร่อนของกรด ข้อมูลตรงนี้ก็สามารถใช้พิสูจน์พระยุคเก่าที่ใช้ปูนดิบสร้างได้อีกระดับหนึ่ง

โดยในเนื้อธรรมชาติที่ไม่ผสมกาวของพระเนื้อผงจากปูนขาวที่มีอายุเกิน 20 ปีไปแล้ว จะมีการย่อยสลายตัวและงอกออกมาเป็นผงแป้งจากผงปูนที่เป็นมวลสารของเนื้อพระด้านใน และจะพองตัวเป็นฝุ่นแป้งยุ่ยๆ แบบขนมโก๋หรือผงแป้งที่ผุกร่อนหรือยุ่ยแตกหักได้ง่าย (เป็นวิชาการธรณีวิทยาเบื้องต้น) หากเนื้อพระนั้นใช้น้ำมันตั้งอิ้วผสมเล็กน้อย ก็จะทำให้เนื้อผงปูนเมื่อแห้งตัวแล้ว จะนุ่ม ไม่ปริแตกหรือหักง่ายเฉพาะในช่วงต้นๆไม่เกิน 10 ปี แต่นานๆไปเมื่อเนื้อพระแห้งมากขึ้น น้ำมันตั้งอิ้วจะกลั่นตัว ซึมงอกออกมาที่ผิว ตามรอยปริแตก หรือถ้าพระเนื้อแก่ผงปูนมากหน่อย ก็จะไหลแทรกซึมขึ้นมาที่ผิวส่วนบน เป็นคราบเหลืองๆ ยิ่งถ้าเนื้อพระโดนไอร้อนจากตัวบ่อยๆก็จะทำให้พระที่ใช้นานๆดูฉ่ำ แต่หากเป็นพระที่ไม่ได้ใช้ ก็จะดูนุ่มนวลตา เพราะเนื้อปูนจะทำปฏิกริยาออกมาคลุมผิวตามกลไกของความชื้นในอากาศตามธรรมชาติ จนอาจดูเหี่ยวย่นยุบแยกแบบเป็นธรรมชาติชัดเจน ลองมาคิดกันดูซิว่า...เมื่อในเนื้อพระมีความชื้นขณะกดพิมพ์ แล้วทำไมพระผงบางองค์ถึงไม่มีรอยประทุบนพื้นผิว ไม่มีรอยยุบ ไม่มีตามดที่เป็นรูระบายอากาศตามธรรมชาติ แม้แต่บรอนซ์ที่ทาผิวไว้ก็มีระยะเวลานานเป็น40ปี โดยทาพร้อมๆกับการกดพระไว้แล้ว แต่ทำไมยังเรียบกริ๊บสนิทแน่นผิวจนมองไม่เห็นรอยถลอก รอยหลุดล่อนตัวจากพื้นผิวบ้างเลย อย่าลืมว่านี่คือพระเนื้อผงที่กดเป็นองค์พระด้วยแรงจากมือคน

6.            สีของบรอนซ์ จะต้องไม่เก่าดำด่างแบบแต่งสีให้เก่า และไม่สว่างสดจนสะท้อนแสงแดด ต้องเก่าคร่ำเป็นไปตามยุคสมัยเมื่อก่อนนั้น หากเป็นการทาก็จะต้องมีลักษณะของเนื้อบรอนซ์ที่ฉาบเคลือบลงบนผิวพระหน้า-หลัง แต่ไม่ทั้งองค์ จะต้องมีเว้นส่วนที่จับถือบ้างในส่วนใดส่วนหนึ่ง หากเป็นการชุบบรอนซ์ก็จะมีลักษณะเคลือบทั้งส่วนที่จุ่มลงในเนื้อบรอนซ์และเมื่อพื้นผิวมีส่วนนูนส่วนเว้า จึงทำให้สีของบรอนซ์ที่หากใช้วิธีจุ่มเคลือบจะมีความหนาแตกต่างกันในร่องลึกซอกมุม มีคนลองใช้เครื่อง XRF แสกนอย่างละเอียดเพื่อหาส่วนประกอบของสารโลหะหนักเบาบนพื้นผิวของพระขุนแผนที่ทาบรอนซ์บางองค์แล้ว จะพบสารประกอบบางอย่างที่เพิ่งมีการค้นพบและนำมาใช้ในวงการอุตสาหกรรมเมื่อไม่ถึง 25 ปีมานี้เท่านั้น ความหมายมีอยู่ในตัวเองชัดเจนแล้ว บางรายเขาเชื่อในเทคโนโลยีแบบนี้ เขาถึงคืนพระกันก็มีมาแล้ว (บางคนเข้าใจผิดว่า ต้องตรวจคาร์บอน14 ) แต่หากหากเราดูด้วยตาแล้ว หากมีอะไรที่มันยังขัดกับความรู้สึกในใจ ก็ไม่ต้องฝืนใจหลอกตัวเอง เข้าใจดีว่าพระในครอบครองของใคร ก็อยากได้ยินว่าเป็นของแท้ทั้งสิ้น แต่จะมีประโยชน์อันใด หากข้อเท็จจริงมันยังไม่ใช่ของแท้

7.            พระขุนแผนผงพรายที่มีหลายสีของท่าน ทั้งแดง(ว่านสบู่เลือด) เขียว(ว่านสีเขียว) ส้ม(ว่านดอกทอง) ซึ่งตามตำราบอกไว้ว่าเป็นเนื้อผงผสมว่านพิเศษบางอย่างไว้ ดังนั้นจึงไม่ควรจะมีสีเสมอกันทั้งองค์แบบผงสีฝุ่นที่ผสมกับเนื้อผงปูนขาว ซี่งหากเป็นผงสีฝุ่นจะทำให้เห็นชัดว่า มองไปจุดไหนก็สีเดียวกันเสมอทั้งองค์ แต่หากเป็นเนื้อผงผสมน้ำว่าน และกดพิมพ์จากด้านหลังไปด้านหน้า(คว่ำหน้าลง) จะต้องให้สีเข้มกว่าที่ด้านหน้า และตรงส่วนที่เป็นจุดนูน ลองพิจารณาตามด้วยจินตนาการของคนมองวิเคราะห์ให้เห็นสภาพความเป็นจริงในการทำงานดังนี้ ...เนื้อพระที่เตรียมจะกดลงในแม่พิมพ์นั้นจะต้องใช้กดลงบล๊อคขณะยังชื้นและเนื้อผงยังอ่อนตัว เพราะยังมีไอน้ำในก้อนมวลสาร เมื่อเป็นเนื้อผสมน้ำว่านที่มาจากพืชที่ให้น้ำว่านสีต่างๆ หากถูกกดบีบด้วยแรงกดเค้นมากกว่าปกติ ก็จะต้องเกิดน้ำว่านไหลซึมไปที่ด้านล่างสุดของการกดลงในแม่พิมพ์ คือส่วนที่นูนที่สุดหรือด้านหน้าองค์พระ ส่วนที่เป็นด้านหลังมักจะต้องมีสีอ่อนกว่าเล็กน้อย และจะต้องไม่มีโทนสีเสมอกันทั้งองค์ หากพระเนื้อผสมน้ำว่านองค์ใดเขียวปี๋เสมอกันทั้งองค์ตลอดหน้าหลัง หรือดำหรือแดงเสมอกันไปเลย ก็ต้องถามใจตัวเองดูว่า ยังสนิทใจไหมกับธรรมชาติแบบนั้น หากเป็นพระเนื้อขาวก็ต้องไม่มีโทนสีเดียวกันทั้งองค์ เพราะตำราสร้างก็ระบุไว้ว่ามีการผสมผงต่างๆ ใส่มวลสารชนิดต่างๆลงไปด้วย ต้องไม่ขาวซีดหรือสีเดียวกันทั้งองค์ ต้องมีจุดแตกต่าง มีส่วนที่แสดงให้เห็นว่าเนื้อในต้องมีหลายอย่างผสมกันอยู่ ลองคิดกันในมุมของความเป็นจริงตามขั้นตอนและวิธีการที่เป็นเรื่องเข้าใจได้ง่ายๆ

8.            เนื้อที่ล้นเกินขอบด้านข้างของพระ (ไม่ใช่เส้นบังคับขอบพิมพ์) จะต้องมีปลิ้นในด้านหลังแทบทุกองค์ และจะต้องไม่เกินออกมาเท่ากันในแต่ละองค์ เพราะความเหลวข้นของมวลสารและจำนวนเนื้อหาที่ใช้กดลงในแม่พิมพ์แต่ละครั้งจะแตกต่างกัน แรงกดของคนก็แตกต่างกัน เนื้อที่ปลิ้นออกจากแม่พิมพ์ด้านหลังจึงต้องไม่เท่ากันเลย (หากเป็นพระผงที่กดคว่ำลงด้วยแม่พิมพ์สองชิ้น จะต้องมีเนื้อล้นเฉพาะด้านหลังเท่านั้น พระที่ตัดขอบด้วยมือก็จะมีลักษณะต่างกันไป) ต้องเหลือล้นเกินออกมาเป็นธรรมชาติแบบมากบ้างน้อยบ้าง ไม่เจตนาทำเกินจนดูสวยงาม ไม่ใช่ดูมาสิบองค์แล้วก็จะพบว่ามีเนื้อเกินด้านข้างขอบยาวเสมอทุกขอบและเรียวคมเหมือนกันทุกองค์ โครงกรอบแม่พิมพ์ก็เป็นส่วนสำคัญที่ใช้พิจารณาได้ทันที เพราะหากพระที่ใช้แม่พิมพ์เดียวกัน จะต้องมีโครงกรอบที่รูปทรงเดียวกัน แม้บางองค์จะบิดเบี้ยวแตกต่างในรายละเอียดบ้าง ก็จะมาจากการบิดตัว การหยิบจับหรือแรงกดหนักเบาไปด้านใดด้านหนึ่ง


9.            ในองค์ที่เป็นพระเนื้อผงของหลวงปู่ทิม แต่มีเปลือกผิวสองชั้นแบบพระชุดฝังกรุของหลวงปู่ทิม ถือว่าเป็นพระที่มีจุดพิจารณาประกอบที่ดีและทำให้ดูง่าย เมื่อครั้งที่มีการหาผู้รับจ้างสร้างพระชุดลงกรุนี้มาจากนครสวรรค์ ลป.ทิมเป็นผู้แนะนำวิธีสร้างแบบพิเศษเฉพาะของท่านและถือเป็นข้อตกลงที่ต้องทำให้ได้แบบนี้ โดยท่านคงมีเจตนาทำพระผงที่จะฝังกรุไว้พิเศษกว่าพระอื่นๆ เพราะท่านคงรู้ดีว่าปัญหาจะมีมากมายเมื่อท่านละสังขารไปแล้ว เรื่องกรรมวิธีการทำและข้อควรฉุกคิดจะยังไม่ขยายความในเรื่องนี้ แต่ทุกท่านสามารถหาภาพพระชุดลงกรุของวัดละหารไร่มาดูกันได้ พระที่สร้างลงกรุไว้ไม่กี่ปี แต่ทำไมมีเปลือกหรือคราบบนผิวสองชั้นชัดเจน ยังไม่ใช่พระที่ลงกรุเป็นร้อยปีด้วยซ้ำไป โดยพระชุดลงกรุในงานผูกพัทธสีมานี้ สร้างปี17 เปิดกรุออกมาในปี26 (อยู่ในกรุเพียง 10 ปี) แล้วท่านเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมพระถึงมีผิวสองชั้น ?

หนุ่มเมืองแกลง, 27 มีนาคม 2016 

ดูคอลัมน์ * ควบม้า..ชมเมือง *

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระสมเด็จแท้ / Genuine Phra Somdej

จำแนกตามพิมพ์และเนื้อหา กราบ พระรัตนตรัย.........บิดามารดาบรรพบุรุษ......ครุฐาอาจารย์ พิมพ์ชาวบ้านและผู้ศรัทธา พิมพ์ช่างหลวง-ยุคปลาย...