26-May-2017
1. ในช่วง
6 เดือนที่ผ่านมา
มีการคืนพระขุนแผนผงพรายกุมารกันไม่น้อยกว่า20
ราย หลายองค์เป็นพระที่ราคาหลักล้านบาทขึ้นไป
เพราะคนที่เอาไปแล้วก็มีวิธีการตรวจสอบทั้งทางเทคโนโลยี่และจากข้อมูลด้านอื่นๆที่ยังพอสืบค้นได้เอง
เมื่อเขาสอบถามผู้ที่อ้างว่าสันทัดพระขุนแผนพรายกุมารหรือเป็นศิษย์เอกหลวงปู่ทิม
ก็ไม่สามารถให้เหตุผลที่ถูกต้องได้ชัดเจนดีพอ พระขุนแผนพรายกุมารปี17
ที่เคยจำหน่ายไปองค์ละ3 – 4 ล้านบาท
จึงมีจำนวนหลายองค์ที่ถูกคืนกลับผู้ให้เช่า หากใครเล่นเฟสบุคในโซเชี่ยลบ่อยๆ
คงมีคนจำกรณีนักธุรกิจหนุ่มหล่อโปรไฟล์เยี่ยมที่ชื่อ
ข......ที่ขอคืนพระขุนแผนองค์ละกว่า3ล้านบาทได้ดี และขอคืนมากกว่า1
องค์ ถัดต่อมาก็เป็นรายการคืนพระองค์ดารา ที่องค์ละ3ล้านบาทถ้วนของนักสะสมรายอื่น
ส่วนองค์ละหลักหลายแสนบาทมีอีกหลายราย เพราะเดี๋ยวนี้ข้อมูลต่างๆไปเร็วและไปไกล
หากใครที่สนใจติดตามเรื่องราวตลอดมาก็น่าจะรู้ได้
แต่ที่ยังเงียบในหน้าหนังสือพิมพ์เพราะอะไรคงน่าจะรู้กันดี
การสมประโยชน์ของกลุ่มร้านค้าต่างๆ (ซึ่งแทบทั้งสิ้นจะเป็นของเซียนพระ)
มักเป็นหัวข้อหลักในการพูดคุยเสมอ
2. พระขุนแผนและพระผงแบบต่างๆของหลวงปู่ทิม
ระยอง มีทำไว้ใช้กันในหมู่คนที่เคารพนับถือท่านมาก่อนหน้านานแล้ว
มีสร้างไว้นับตั้งแต่ต้นปี2509เป็นต้นมา
โดยทำกันในวัดเรื่อยมาหลังจากสร้างเหรียญรุ่นแรกปี2508
ไม่ได้ขาดช่วงหรือเว้นนานนับเกือบสิบปีแต่อย่างใด
แม้แต่ก่อนการสร้างเหรียญรุ่นแรกก็ได้มีการทำเครื่องรางรูปแบบต่างๆไปมากแล้ว
และมีสร้างไว้หลายยุคสมัยและหลายรูปแบบ
แต่ทั้งหมดที่เป็นพระเนื้อผงจะเป็นการกดพิมพ์ด้วยแรงกดจากมือคนทั้งสิ้น
เมื่อทำเสร็จแล้วมักจะแจกไปบูชากันฟรี
มีบางรุ่นเท่านั้นที่นำมาใส่ตู้ของวัดเพื่อจำหน่ายให้คนไกลๆที่มากราบท่านได้บูชากลับบ้าน
แต่คนที่ทำหนังสือเผยแพร่เกียรติคุณของท่านกลับไม่ได้สนใจค้นคว้าและทำต้นทางให้ถูกต้องแต่แรก
เมื่อมีการคัดลอกในทอดต่อๆมา ก็เลยกลายเป็นแม่ปูและลูกปูที่เดินไม่ตรงทางตามกัน
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วหลวงปู่ทิมเป็นที่เคารพนับถือของทหารเรือสัตหีบมาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2509 มาแล้ว ตั้งแต่สมัยยุคทหารจีไอครองอู่ตะเภา
พอเข้าปี 2510-11
ทหารช่างของกรมโรงงานฐานทัพเรือสัตหีบก็เข้ามาช่วยงานต่างๆของวัดบ้างแล้ว
ยิ่งช่วงที่วัดละหารไร่ต้องการหาทุนมาสร้างพระอุโบสถหลังใหม่
ก็มีหลายๆฝ่ายเข้าไปช่วยงานวัดมากขึ้นทั้งจากระยอง สัตหีบและชลบุรี โดยตั้งแต่ปี2511
เป็นต้นมา การเดินทางไปวัดละหารไร่ก็ไม่ได้กันดารยากลำบากอะไรมากนัก มีถนนลาดยาง
มีรถเมลล์ บขส.วิ่งแล้ว
ยังได้พูดคุยกับคนบ้านค่ายที่เคยนั่งรถเมลล์สายบ้านค่าย-ระยอง
เพื่อเข้าไปเรียนอัสสัมชัญระยอง แบบไปกลับทุกวันนับตั้งแต่ปี2512
เป็นต้นมา ไม่ได้เป็นป่าทึบรกร้างมีเสือชุม เดินทางยากลำบากเป็นวันเป็นคืนอย่างเข้าใจกัน
แต่ยุงชุมนั้นคงจะใช่
3. การแกะแม่พิมพ์พระเนื้อผงนั้น
หากเป็นช่างอาชีพที่ทำงานด้านนี้
ต้องมีความรู้ความสามารถจากจิตวิญญาณหรือที่เรียกว่างานศิลปและเชิงช่าง
งานที่ออกมาจะดูอ่อนช้อย เรียบร้อยสวยงามและคดโค้งพริ้วไหวตามธรรมชาติ ไม่หยาบ
ไม่แข็งทื่อกระด้าง แต่ความคดโค้ง หักงอหรือลึกตื้นก็ไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกจุด
และในยุค40-50ปีก่อนนั้นเมืองไทยจะยังไม่มีคอมพิวเตอร์ในการออกแบบลายเส้น
เป็นการร่างแบบจากสายตาและเชิงช่างของคน
พร้อมนำมาแกะเซาะเนื้อโลหะด้วยมือคนจากสายตาคน สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องแกะ CNC
ดังนั้นเส้นสายรายละเอียดของจุดต่างๆจะไม่เหมือนกันเลยสักจุด
แม้แต่ตัวหนังสือตัวเดียวกันที่อยู่คนละตำแหน่งก็ยังไม่เหมือนกัน100%
ถึงแม้นลายเส้นด้านซ้ายอาจโค้งมากกว่าด้านขวา
แต่จะงดงามเป็นงานศิลปะที่กลมกลืนลงตัว และหลุมบนพื้นผิวพระองค์จริงนั้นมักจะเกิดได้น้อยมาก
เพราะในแม่พิมพ์จะเป็นจุดเป็นตุ่มนูนสูงที่ช่างแกะจะเห็นชัดและแต่งออกได้ง่ายที่สุด
แต่หากเป็นเส้นนูนเช่นยันต์แตกหรือเส้นขนแมว
นั่นหมายถึงร่องลึกในแม่พิมพ์ที่แกะพลาด ลบออกหรือแต่งกลับให้เสมอพื้นผิวได้ยาก
4. ความตึงผิวและความแน่นตัวในเนื้อหาของพื้นผนังรอบๆองค์พระ
และพื้นผิวด้านหลัง จะไม่แน่นตัวหรือราบเรียบเสมอกันทุกองค์
เพราะน้ำหนักการกดด้วยมือคนจะไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง
และยังมีกรณีเนื้อหามวลสารที่ใส่ลงไปในแม่พิมพ์ก็ไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง
และที่สำคัญหากเป็นพระผงที่ไม่ผสมกาวเป็นตัวประสานเนื้อ การแน่นตัวแบบเรียบแข็งกระด้างทั้งองค์พระจะต้องไม่มีเลย
ลายเส้นส่วนนูนต่างๆด้านหน้า
ที่หากเป็นพระแท้จากแม่พิมพ์ดั้งเดิมที่ไม่ใช่การถอดพิมพ์มาอีกทอดหนึ่ง
จะมีรูปแบบของมิติต่างๆทั้งในส่วนเว้า นูนลึก หรือคดโค้งที่เป็นแบบชัดลึก
ไม่ใช่แบบชัดตื้นหรือแข็งกระด้าง และลายเส้นยันต์ด้านหลังก็จะไม่แน่นตัวเสมอเท่ากันทุกองค์
เมื่อมองอย่างพิจารณาด้วยตา ก็คงพอจะบอกได้แล้วว่า
แบบไหนมันนุ่มตาหรือแบบไหนแข็งกระด้าง
หนุ่มเมืองแกลง, 27
มีนาคม 2016
5. พระเนื้อผงที่มีอายุกว่า
40 ปีแล้ว ต้องมีการหดตัวของมวลสารที่แตกต่างกัน
ส่วนใดที่มีแรงกดแน่นตัวมากกว่าเช่นด้านหน้าหรือส่วนนูน
ก็จะหดยุบตัวน้อยกว่าในส่วนที่เป็นสันขอบด้านข้าง เราจะมองเห็นชัดว่าตามขอบ
ตามผิวพระจะเกิดการยุบ ย่น ยับ แยก
ด้วยธรรมชาติของอินทรีย์วัตถุที่จะหดตัวหรือย่อยสลายแตกต่างกัน
แต่หากเป็นพระผงที่สร้างด้วยการผสมกาว จะไม่เกิดการหดตัว
จะมีเพียงการแยกตัวของพื้นผิวเมื่อถูกความร้อน
เพราะเนื้อกาวจะไปเปลี่ยนโครงสร้างมวลสารของเนื้อพระไปแล้ว
ผงปูนที่เป็นส่วนผสมหลักในการสร้างพระขุนแผนคือปูนขาว
เป็นปูนสุกหรือปูนที่เผาแล้วจนโมเลกุลถูกเผาจนกลายเป็นแคลเซียมออกไซด์
เมื่อละลายน้ำหรือโดนน้ำจะเป็นแคลเซียมไฮดร็อกไซด์ หรือภาษาไทยเรียกน้ำปูนใส
และเมื่อทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ บางส่วนจะเกิดปฏิกริยาเป็นฝ้าขาว
บางส่วนจะตกตะกอนเป็นแคลเซียมไบคาร์บอเนต หรือภาษาไทยเรียกว่าตะกรัน
หากเป็นพระเครื่องยุคเก่าเป็นร้อยๆปีเช่นพระสมเด็จ
มักใช้ปูนดิบ(ปูนที่ยังไม่ได้เผา
หรือเผาแล้วแต่ยังไม่ถึงระดับทำลายโครงสร้างโมเลกุลของปูน ยังเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตอยู่)
มาบดเป็นเนื้อมวลสารหลัก ซึ่งปูนดิบจะละลายน้ำได้น้อย
เมื่อเวลาผ่านไปนานๆจะตกผลึกเป็นแร่ที่เรียกว่าแคลไซท์สีขาวใส
ลักษณะแบบเดียวกับผลึกหินอ่อน
มีความแข็งทนทานต่อการกร่อนยุ่ยสลายตามธรรมชาติแต่ไม่ทนการกัดกร่อนของกรด
ข้อมูลตรงนี้ก็สามารถใช้พิสูจน์พระยุคเก่าที่ใช้ปูนดิบสร้างได้อีกระดับหนึ่ง
โดยในเนื้อธรรมชาติที่ไม่ผสมกาวของพระเนื้อผงจากปูนขาวที่มีอายุเกิน
20 ปีไปแล้ว
จะมีการย่อยสลายตัวและงอกออกมาเป็นผงแป้งจากผงปูนที่เป็นมวลสารของเนื้อพระด้านใน
และจะพองตัวเป็นฝุ่นแป้งยุ่ยๆ แบบขนมโก๋หรือผงแป้งที่ผุกร่อนหรือยุ่ยแตกหักได้ง่าย
(เป็นวิชาการธรณีวิทยาเบื้องต้น) หากเนื้อพระนั้นใช้น้ำมันตั้งอิ้วผสมเล็กน้อย
ก็จะทำให้เนื้อผงปูนเมื่อแห้งตัวแล้ว จะนุ่ม
ไม่ปริแตกหรือหักง่ายเฉพาะในช่วงต้นๆไม่เกิน 10 ปี
แต่นานๆไปเมื่อเนื้อพระแห้งมากขึ้น น้ำมันตั้งอิ้วจะกลั่นตัว ซึมงอกออกมาที่ผิว
ตามรอยปริแตก หรือถ้าพระเนื้อแก่ผงปูนมากหน่อย ก็จะไหลแทรกซึมขึ้นมาที่ผิวส่วนบน
เป็นคราบเหลืองๆ ยิ่งถ้าเนื้อพระโดนไอร้อนจากตัวบ่อยๆก็จะทำให้พระที่ใช้นานๆดูฉ่ำ
แต่หากเป็นพระที่ไม่ได้ใช้ ก็จะดูนุ่มนวลตา
เพราะเนื้อปูนจะทำปฏิกริยาออกมาคลุมผิวตามกลไกของความชื้นในอากาศตามธรรมชาติ
จนอาจดูเหี่ยวย่นยุบแยกแบบเป็นธรรมชาติชัดเจน
ลองมาคิดกันดูซิว่า...เมื่อในเนื้อพระมีความชื้นขณะกดพิมพ์
แล้วทำไมพระผงบางองค์ถึงไม่มีรอยประทุบนพื้นผิว ไม่มีรอยยุบ
ไม่มีตามดที่เป็นรูระบายอากาศตามธรรมชาติ แม้แต่บรอนซ์ที่ทาผิวไว้ก็มีระยะเวลานานเป็น40ปี
โดยทาพร้อมๆกับการกดพระไว้แล้ว
แต่ทำไมยังเรียบกริ๊บสนิทแน่นผิวจนมองไม่เห็นรอยถลอก
รอยหลุดล่อนตัวจากพื้นผิวบ้างเลย
อย่าลืมว่านี่คือพระเนื้อผงที่กดเป็นองค์พระด้วยแรงจากมือคน
6. สีของบรอนซ์
จะต้องไม่เก่าดำด่างแบบแต่งสีให้เก่า และไม่สว่างสดจนสะท้อนแสงแดด
ต้องเก่าคร่ำเป็นไปตามยุคสมัยเมื่อก่อนนั้น
หากเป็นการทาก็จะต้องมีลักษณะของเนื้อบรอนซ์ที่ฉาบเคลือบลงบนผิวพระหน้า-หลัง
แต่ไม่ทั้งองค์ จะต้องมีเว้นส่วนที่จับถือบ้างในส่วนใดส่วนหนึ่ง
หากเป็นการชุบบรอนซ์ก็จะมีลักษณะเคลือบทั้งส่วนที่จุ่มลงในเนื้อบรอนซ์และเมื่อพื้นผิวมีส่วนนูนส่วนเว้า
จึงทำให้สีของบรอนซ์ที่หากใช้วิธีจุ่มเคลือบจะมีความหนาแตกต่างกันในร่องลึกซอกมุม
มีคนลองใช้เครื่อง XRF แสกนอย่างละเอียดเพื่อหาส่วนประกอบของสารโลหะหนักเบาบนพื้นผิวของพระขุนแผนที่ทาบรอนซ์บางองค์แล้ว
จะพบสารประกอบบางอย่างที่เพิ่งมีการค้นพบและนำมาใช้ในวงการอุตสาหกรรมเมื่อไม่ถึง 25
ปีมานี้เท่านั้น ความหมายมีอยู่ในตัวเองชัดเจนแล้ว
บางรายเขาเชื่อในเทคโนโลยีแบบนี้ เขาถึงคืนพระกันก็มีมาแล้ว (บางคนเข้าใจผิดว่า
ต้องตรวจคาร์บอน14 ) แต่หากหากเราดูด้วยตาแล้ว
หากมีอะไรที่มันยังขัดกับความรู้สึกในใจ ก็ไม่ต้องฝืนใจหลอกตัวเอง
เข้าใจดีว่าพระในครอบครองของใคร ก็อยากได้ยินว่าเป็นของแท้ทั้งสิ้น
แต่จะมีประโยชน์อันใด หากข้อเท็จจริงมันยังไม่ใช่ของแท้
7. พระขุนแผนผงพรายที่มีหลายสีของท่าน
ทั้งแดง(ว่านสบู่เลือด) เขียว(ว่านสีเขียว) ส้ม(ว่านดอกทอง) ซึ่งตามตำราบอกไว้ว่าเป็นเนื้อผงผสมว่านพิเศษบางอย่างไว้
ดังนั้นจึงไม่ควรจะมีสีเสมอกันทั้งองค์แบบผงสีฝุ่นที่ผสมกับเนื้อผงปูนขาว
ซี่งหากเป็นผงสีฝุ่นจะทำให้เห็นชัดว่า มองไปจุดไหนก็สีเดียวกันเสมอทั้งองค์
แต่หากเป็นเนื้อผงผสมน้ำว่าน และกดพิมพ์จากด้านหลังไปด้านหน้า(คว่ำหน้าลง)
จะต้องให้สีเข้มกว่าที่ด้านหน้า และตรงส่วนที่เป็นจุดนูน
ลองพิจารณาตามด้วยจินตนาการของคนมองวิเคราะห์ให้เห็นสภาพความเป็นจริงในการทำงานดังนี้
...เนื้อพระที่เตรียมจะกดลงในแม่พิมพ์นั้นจะต้องใช้กดลงบล๊อคขณะยังชื้นและเนื้อผงยังอ่อนตัว
เพราะยังมีไอน้ำในก้อนมวลสาร
เมื่อเป็นเนื้อผสมน้ำว่านที่มาจากพืชที่ให้น้ำว่านสีต่างๆ
หากถูกกดบีบด้วยแรงกดเค้นมากกว่าปกติ
ก็จะต้องเกิดน้ำว่านไหลซึมไปที่ด้านล่างสุดของการกดลงในแม่พิมพ์
คือส่วนที่นูนที่สุดหรือด้านหน้าองค์พระ
ส่วนที่เป็นด้านหลังมักจะต้องมีสีอ่อนกว่าเล็กน้อย และจะต้องไม่มีโทนสีเสมอกันทั้งองค์
หากพระเนื้อผสมน้ำว่านองค์ใดเขียวปี๋เสมอกันทั้งองค์ตลอดหน้าหลัง
หรือดำหรือแดงเสมอกันไปเลย ก็ต้องถามใจตัวเองดูว่า ยังสนิทใจไหมกับธรรมชาติแบบนั้น
หากเป็นพระเนื้อขาวก็ต้องไม่มีโทนสีเดียวกันทั้งองค์
เพราะตำราสร้างก็ระบุไว้ว่ามีการผสมผงต่างๆ ใส่มวลสารชนิดต่างๆลงไปด้วย
ต้องไม่ขาวซีดหรือสีเดียวกันทั้งองค์ ต้องมีจุดแตกต่าง
มีส่วนที่แสดงให้เห็นว่าเนื้อในต้องมีหลายอย่างผสมกันอยู่
ลองคิดกันในมุมของความเป็นจริงตามขั้นตอนและวิธีการที่เป็นเรื่องเข้าใจได้ง่ายๆ
8. เนื้อที่ล้นเกินขอบด้านข้างของพระ
(ไม่ใช่เส้นบังคับขอบพิมพ์) จะต้องมีปลิ้นในด้านหลังแทบทุกองค์
และจะต้องไม่เกินออกมาเท่ากันในแต่ละองค์
เพราะความเหลวข้นของมวลสารและจำนวนเนื้อหาที่ใช้กดลงในแม่พิมพ์แต่ละครั้งจะแตกต่างกัน
แรงกดของคนก็แตกต่างกัน เนื้อที่ปลิ้นออกจากแม่พิมพ์ด้านหลังจึงต้องไม่เท่ากันเลย
(หากเป็นพระผงที่กดคว่ำลงด้วยแม่พิมพ์สองชิ้น
จะต้องมีเนื้อล้นเฉพาะด้านหลังเท่านั้น พระที่ตัดขอบด้วยมือก็จะมีลักษณะต่างกันไป)
ต้องเหลือล้นเกินออกมาเป็นธรรมชาติแบบมากบ้างน้อยบ้าง ไม่เจตนาทำเกินจนดูสวยงาม
ไม่ใช่ดูมาสิบองค์แล้วก็จะพบว่ามีเนื้อเกินด้านข้างขอบยาวเสมอทุกขอบและเรียวคมเหมือนกันทุกองค์
โครงกรอบแม่พิมพ์ก็เป็นส่วนสำคัญที่ใช้พิจารณาได้ทันที
เพราะหากพระที่ใช้แม่พิมพ์เดียวกัน จะต้องมีโครงกรอบที่รูปทรงเดียวกัน
แม้บางองค์จะบิดเบี้ยวแตกต่างในรายละเอียดบ้าง ก็จะมาจากการบิดตัว
การหยิบจับหรือแรงกดหนักเบาไปด้านใดด้านหนึ่ง
9. ในองค์ที่เป็นพระเนื้อผงของหลวงปู่ทิม
แต่มีเปลือกผิวสองชั้นแบบพระชุดฝังกรุของหลวงปู่ทิม
ถือว่าเป็นพระที่มีจุดพิจารณาประกอบที่ดีและทำให้ดูง่าย
เมื่อครั้งที่มีการหาผู้รับจ้างสร้างพระชุดลงกรุนี้มาจากนครสวรรค์
ลป.ทิมเป็นผู้แนะนำวิธีสร้างแบบพิเศษเฉพาะของท่านและถือเป็นข้อตกลงที่ต้องทำให้ได้แบบนี้
โดยท่านคงมีเจตนาทำพระผงที่จะฝังกรุไว้พิเศษกว่าพระอื่นๆ
เพราะท่านคงรู้ดีว่าปัญหาจะมีมากมายเมื่อท่านละสังขารไปแล้ว
เรื่องกรรมวิธีการทำและข้อควรฉุกคิดจะยังไม่ขยายความในเรื่องนี้
แต่ทุกท่านสามารถหาภาพพระชุดลงกรุของวัดละหารไร่มาดูกันได้
พระที่สร้างลงกรุไว้ไม่กี่ปี แต่ทำไมมีเปลือกหรือคราบบนผิวสองชั้นชัดเจน
ยังไม่ใช่พระที่ลงกรุเป็นร้อยปีด้วยซ้ำไป โดยพระชุดลงกรุในงานผูกพัทธสีมานี้
สร้างปี17 เปิดกรุออกมาในปี26 (อยู่ในกรุเพียง
10 ปี) แล้วท่านเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า
ทำไมพระถึงมีผิวสองชั้น ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น