ควบม้า..ชมเมือง/2017-May-20
อวิชชาของผู้เรียบเรียง
ประมาณซัก 20 กว่าปีที่แล้ว
ที่เริ่มสะสมพระเครื่องใหม่ๆ จะมีอคติอยู่มาก เพราะเป็นกบอยู่ในกะลา
เมื่อเห็นพระปิดตาครั้งแรก โดยที่ไม่ได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์หรือจากตำราใด
ก็ด่วนสรุปในใจว่า “ พระอะไร
ไม่โปร่งใส ทำตัวลึกลับ ปิดหูปิดตา “
โดยหารู้ไม่ว่าเป็นบาปยิ่ง และไม่กี่วันมานี้
ก็ไปพบคนแบบเดียวกับผู้เรียบเรียง จึงได้อธิบายแถลงไขให้ผู้นั้นได้เข้าใจโดยตลอด
เกี่ยวกับพระปิดตา ด้วยมูลเหตุนี้คิดว่าคงมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย
ที่อาจจะยังไม่ทราบความเป็นมา ก็จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
มาเล่าสู่กันฟัง โดยมีจุดประสงค์เพื่อกราบขอขมาพระอรหันต์สังกัจจายนเจ้าด้วยเศียรเกล้า และให้สาธุชนผู้ไม่รู้ ไม่เข้าใจซึ่งอาจจะทำผิดโดยจิตและวาจาล่วงละเมิดพระอรหันต์ ได้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องที่แจ่มชัดต่อไปครับ...สาธุ
ประวัติ
พระมหากัจจายนะ (บาลี: มหากจฺจายน, สันสกฤต:
มหากาตฺยายน) เป็นพระอรหันต์ 1 ใน
80
พระอสีติมหาสาวกในศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้า
ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางผู้อธิบายความย่อให้พิสดาร
พระมหากัจจายนมีอีกชื่อหนึ่งว่า กัจจานะ
(หรือกัจจายนะ) ในญี่ปุ่นรู้จักทั่วไปในชื่อ "คะเซ็นเน็น" (Kasennen) ส่วนในประเทศไทยนอกจากชื่อตามภาษาบาลีแล้ว
ยังเป็นที่รู้จักในชื่อ "พระสังกัจจายน์" หรือ "พระสังกระจาย"
พระมหากัจจายนะเกิดในตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่งในกรุงอุชเชนี
ได้รับการศึกษาในทางไตรเพทเวทมนตร์ตามอย่างตระกูลพราหมณ์ทั้งหลาย
ท่านเป็นศิษย์ของอสิตดาบสแห่งเขาวินธัย
(ผู้ทำนายว่าเจ้าชายสิทธิตถะจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือพระพุทธเจ้าในอนาคต)
พระมหากัจจายนะพร้อมด้วยมิตรอีก 7
คนได้อาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมเทศนา
และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในระหว่างฟังธรรมนั้นเอง
หลังจากนั้นท่านจึงทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธเจ้า
และได้เผยแผ่ศาสนาพุทธอยู่ในแคว้นอวันตีจนมีผู้เข้ามาเป็นสาวกในพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
พระภควัมบดีได้นั่งสมาธิทางใน
โดยใช้มือทั้งสองปิดตา
(ปฐมเหตุแห่งการสร้างพระปิดตา)
จนเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าท่านทรงออกเดินทางเพื่อแสดงธรรม
ซึ่งในครั้งนั้นมีพระสาวกเป็นจำนวนมากที่พร้อมเดินทางพร้อมกับพระพุทธองค์
ด้วยสถานที่จุดหมายที่จะเดินทางไกลนั้นใช้เวลาหลายพรรษา
และประกอบกับต้องผ่านในสถานที่อันตรายต่างๆ
จนเมื่อถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีความแห้งแล้งทุรกันดาร
มีบรรดาภูตผีและวิญญาณที่มองไม่เห็นอยู่มากมาย ถึงขนาดเหล่าเทพเทวดาไม่อาจผ่านบริเวณที่แห่งนั้นได้
ครั้งนั้น
พระพุทธองค์ได้เรียกประชุมบรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จในครั้งนั้น
เพื่อหาทางออกของการเดินทางในครั้งนี้ ซึ่งการประชุมถูกแบ่งออกเป็น ๒ ทางเลือก คือ
๑.ใช้การเดินทางอ้อม ซึ่งจะทำให้ใช้ระยะเวลาหลายเดือน และเกิดความล่าช้ากว่ากำหนด
๒.เดินทางต่อโดยใช้เส้นทางเดิม
ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีอันตรายตลอดการเดินทาง และมีปัญหาในการดำรงชีวิต
แต่ในการประชุมครั้งนั้น ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้กล่าวสอบถามในการเดินทางครั้งนั้นว่า
“พระภควัมบดี ได้ติดตามมาในขบวนนี้ด้วยหรือไม่”
บรรดาเหล่าพระสาวกจึงตอบกลับไปว่า
ในการเดินทางครั้งนี้ พระภควัมบดี ได้เดินทางมาด้วย เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบ ก็ทรงพอพระทัยยิ่งนัก
และได้ตอบกลับแก่บรรดาพระสาวกที่ติดตามว่า
เราจะเดินทางต่อไป และใช้เส้นทางเดิม ในการเสด็จครั้งนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี
ต่อมา
เมื่อพระภควัมบดี ได้ทราบถึงเหตุการณ์ของพระพุทธองค์ในการประชุมในครั้งนั้น
ท่านได้คิดถึงเหตุผลต่างๆ ว่าเพราะอะไร พระพุทธองค์ถึงถามพระภควัมบดี
แล้วมีความเกี่ยวข้องถึงการเดินทางได้อย่างไร
พระภควัมบดีได้นั่งสมาธิทางใน
โดยใช้มือทั้งสองปิดตา เพื่อหาสาเหตุ จนกระทั่งพบว่า ในอดีตชาติ
ท่านได้เกิดเป็นชายผู้หนึ่ง ที่มีความรู้แตกฉานในการรักษาโรคต่างๆ
และเป็นผู้เสียสละในการรักษาผู้ป่วย ไม่ยึดติดเงินทอง ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ชาตินี้มีแต่ผู้รักใคร่
มีปัญญาที่เฉียบแหลม และมีผู้ที่คอยปกปักรักษาคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง
ด้วยสาเหตุที่พระภควัมบดีได้นั่งสมาธิทางใน
จึงเป็นที่มาของ "ปางเข้านิโรธสมาบัติ" หรือ "พระปิดตา"
ที่เห็นในปัจจุบัน
โบราณจารย์จึงได้จำลองลักษณะแห่งพระภควัมบดีในรูปพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์
อันเป็นเอกลักษณ์ไว้ ๓ ประเภท เพื่อแสดงความหมายถึงพระภควัมปติ
อันเป็นผู้มีความละม้ายเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง
- พระปิดทวารทั้ง ๙ อันเป็นการปิดกั้นอาสวะกิเลสแห่งทวารเข้าออกทั้ง ๙ ของร่างกาย
- พระสังกัจจายน์ อันเป็นที่รักใคร่นิยมยินดี เต็มไปด้วยลาภสักการะสรรเสริญ
- พระปิดตามหาอุตม์ อันเป็นการป้องกันสรรพภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง
ความเป็นจริงพระปิดตา
ที่มีมือคู่เดียวยกขึ้นมาปิดที่ใบหน้า และพระปิดทวารทั้ง 9
นั้นก็หมายถึงพระภควัมปติหรือพระภควัมบดี เช่นเดียวกัน และพระมหาสังกัจจายน์
ก็คือพระอรหันต์องค์เดียวกันนั่นเองครับ
ตามประวัติว่ากันว่าพระมหาสังกัจจายน์นั้นมีรูปร่างงดงาม และได้รับคำชมจากพระบรมศาสดาว่า
พระมหาสังกัจจายน์นั้นเป็นเอตทัคคะ
และฉลาดล้ำเลิศในการอธิบายความแห่งคำที่ย่อได้อย่างพิสดาร
ด้วยความฉลาดล้ำเลิศของพระมหาสังกัจจายน์นั่นเอง
ทำไมพระสังกัจจายน เตี้ย-ท้องพลุ้ย ไม่เป็นที่น่าดู
พระมหาสังกัจจายน์ท่านเป็นผู้ที่มีผิวพรรณวรรณะงดงาม
ตามพระบาลีว่า สุวณฺโณจวณฺณํ คือมีผิวเหลืองดังทองคำ เป็นที่เสน่ห์นิยม
มิว่าท่านจะไปในสถานที่แห่งใด เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างก็พากันสรรเสริญว่า
ท่านคือ พระบรมศาสดาเสด็จมาแล้ว
เพราะเหตุที่ท่านมีรูปโฉมละม้ายเหมือนพระศาสดานั่นเอง
ท่านจึงได้รับสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า พระภควัมปติ ซึ่งมีความหมายทำนองว่า ผู้มีความงามละม้ายเหมือน
พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง
เมื่อเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ ท่านจึงมาคิดว่า
การที่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายพากันสรรเสริญท่านดังนี้ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
สุดท้ายท่านจึงกระทำด้วยอิทธิฤทธิ์ เนรมิตกายให้เตี้ยลงจึงดูท้องพลุ้ย
ไม่เป็นที่น่าดู เทพยดาและมนุษย์จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอีกต่อไป
ส่วนที่มีการทำรูปเคารพเป็นรูปปิดทวารทั้ง 9
นั้น ก็คือมือคู่หนึ่งปิดหน้า คือปิดตา 2 ข้างปิดจมูก 2
ปิดปาก 1 และมีมืออีกคู่หนึ่งมาปิดที่หู 2
ข้าง ส่วนอีกมือคู่หนึ่งนั้นปิดที่ทวารทั้ง 2
รวมเป็นปิดทวารทั้งเก้า คือเป็นอุปเท่ห์หมายถึง
ตอนที่พระภควัมปติท่านกำลังเข้านิโรธสมบัติ ทวารทั้งเก้าก็จะปิดสนิท
ไม่ยินดียินร้ายกับกิเลสทั้งหลาย หมายถึงดับสนิท อาสวะกิเลสต่างๆ
ไม่อาจที่จะเข้ามาแผ้วพานได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น